สำหรับการดำเนินธุรกิจ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ มักเริ่มต้นด้วยการได้ค้นพบงานที่ตนเองรัก มีความสุขและสนุกกับทำงาน อันเป็นบ่อเกิดของ ‘Passion’ พลังในการขับเคลื่อนไปสู่หมุดหมายที่ต้องการ ซึ่งสำหรับ ‘ชนินทร์ วานิชวงศ์’ หรือ ‘คุณเชน’ ผู้ก่อตั้ง ‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกของการเข้ามาสู่แวดวงอสังหาริมทรัพย์ในฐานะนักลงทุนรายย่อย ก่อนจะกลายเป็นงานอดิเรกที่ชื่นชอบ จนตัดสินใจที่จะกระโดดเข้าสู่โลกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในฐานะดีเวลล็อปเปอร์อย่างเต็มตัว โดยใช้ ‘Passion’ เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ
“หลังเรียนจบปริญญาตรีและกำลังเรียนต่อโท ผมทำธุรกิจซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาร่วมกับพี่ชาย ระหว่างนั้นก็มีการนำเงินออมมาซื้อคอนโดฯ แห่งแรกคือที่สุขุมวิท ซอย 18 ตั้งแต่ในยุคที่คอนโดฯ ยังไม่เริ่มบูม และซื้อแบบเป็นกระดาษ ตอนนั้นราคาประมาณ 50,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งพอผ่านไป 6 เดือน ราคากลายเป็น 90,000-100,000 บาท/ตร.ม. และพอคอนโดฯ สร้างเสร็จ ได้เข้าไปอยู่ช่วงหนึ่ง ผมก็ไปซื้อคอนโดฯ ใหม่ ราคาประมาณ 110,000 บาท/ตร.ม. ผ่านไปได้หนึ่งปี ราคาขึ้นไปที่ 120,000-130,000 บาท/ตร.ม. ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าการอยู่คอนโดฯ นอกจากจะได้ในเรื่องไลฟ์สไตล์ของตนเองที่มีความเป็นส่วนตัว ได้เอ็นจอยกับการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ก็จะได้ในเรื่องของ Capital Gain ด้วย ก็เลยซื้อคอนโดฯ แห่งที่ 3 แห่งที่ 4 และเริ่มปล่อยเช่า จำได้ว่าห้องที่ราคา 100,000 บาท/ตร.ม. เราปล่อยเช่าได้ 700 บาท/ตร.ม./เดือน ซึ่งห้องขนาด 80 ตร.ม. ก็ได้ค่าเช่าประมาณ 50,000 บาท/เดือน เมื่อเราคำนวน Yield หรือผลตอบแทน ก็จะอยู่ที่ 5-6% ก็เลยเริ่มสะสมคอนโดฯ เป็นงานอดิเรก”
หลังจากที่สนุกกับการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในฐานะนักลงทุนรายย่อยอยู่ 7 ปี ลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ไปทั้งหมด 80 รายการ ทั้งแบบปล่อยเช่าและขายต่อ จนตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มมีซัพพลายเข้ามาเยอะกว่าดีมานด์ การลงทุนได้ผลตอบแทนน้อยลง และการขายต่อก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2555 คุณเชน จึงได้ตัดสินเปลี่ยนงานอดิเรกมาเป็นธุรกิจหลักของตนเองในฐานะดีเวลล็อปเปอร์อย่างเต็มตัว
“พอมานั่งวิเคราะห์ เราก็พบว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราสนุกกับการลงทุนอสังหาฯ แต่พอตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ เริ่มพีค ผมก็เริ่มมองโอกาสใหม่ๆ ก่อนหน้านั้นผมไปซื้อทาวน์โฮมในโซนพร้อมพงษ์ ทองหล่อ แล้วนำมารีโนเวทขายด้วย แต่ก็เริ่มหาอสังหาฯ ทำเลดีๆ ในราคาที่ยังได้อยู่ยาก ก็เลยมีไอเดียว่าจะเริ่มทำโครงการเล็กๆ ด้วยตนเอง แต่ตลาดกรุงเทพฯ การแข่งขันสูงมาก ในช่วงนั้นเป็น Red Ocean เลย ผมก็เลยมองหาเมืองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด โดยส่วนตัวคุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยวบ่อย และเห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองพัทยาซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาที่ดินยังไม่แพงมาก ที่ดินริมทะเลตารางวาละแสนกว่าบาท ศักยภาพของราคาที่ดินยังเติบโตน้อยและยังสามารถสร้างผลตอบแทนในเชิง Capital Gain ได้ ก็เลยไปลงทุนทำโครงการ ‘The Ville Jomtien Pool Villa’ มูลค่า 550 ล้านบาท ซึ่งเราไปซื้อทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว จัดสรรแล้ว และพัฒนาไปบางส่วน ประมาณ 20% โดยซื้อที่ดินที่เหลือมาทั้งหมด และปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการพัฒนาเป็นโครงการบ้านธรรมดาเป็นพูล วิลล่า 80 แปลง ราคา 6-13 ล้านบาท ตกแต่งครบแบบ fully furnished โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือเป็นบ้านหลังที่สองของคนกรุงเทพฯ ซึ่งมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และขายบางส่วนในรูปแบบ Life Style Investment หรือโมเดลการลงทุนอสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่า ซึ่งเป็นการซื้อเพื่อตอบโจทย์ในเชิงไลฟ์สไตล์ ไปเที่ยว ไปใช้ ในเชิงการลงทุนซื้อไว้ 3 ปี 5 ปี ราคาที่ดินก็เติบโตจากการขยายของเมือง และหากปล่อยเช่า ก็จะได้ค่าเช่ากลับมาปีละประมาณ 6% อีกด้วย”
หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนา ‘The Ville Jomtien Pool Villa’ คุณเชน ก็มองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการในตลาดราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเป็น Mass Market ในปี 2558 จึงได้เปิดตัว ‘X2 Vibe Pattaya Seaphere’ ในราคา 3-6 ล้านบาท โดยได้ ‘X2’ เชนบูทีคดีไซน์โฮเทลระดับลักชัวรี่เข้ามาดูแลการบริการแบบไลฟ์สไตล์ และเริ่มพัฒนา ‘X2 Pattaya Oceanphere’ ซึ่งเป็นพูล วิลล่าโครงการที่สองในปี 2559 โดยพัฒนาในรูปแบบเพื่อการลงทุน 80% ซึ่งทั้งสองโครงการผลตอบรับดีมาก Sold out ภายใน 2 ปีกว่า โดยโครงการเน้นในเรื่องของความแตกต่าง เน้นดีไซน์แบบโมเดิร์น เรียบง่าย แต่มีความเก๋
“ผมเชื่อว่าเทรนด์ของการท่องเที่ยวในอนาคต จะไม่ได้เป็นรูปแบบของโรงแรมขนาดใหญ่ 500 ห้อง หรือ 1,000 ห้อง แต่จะเป็นโรงแรมเล็กๆ ที่มีจุดขาย มีดีไซน์ ซึ่งเป็นจุดที่เรามองว่าเพิ่มมูลค่าให้อสังหาริมทรัพย์ของเราได้ คนที่ซื้อก็จะได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี และได้เข้าพัก 14 วันต่อปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่ง ‘X2 Vibe Pattaya Seaphere’ และ ‘X2 Pattaya Oceanphere’ ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากในด้านของผลตอบรับ” คุณเชน กล่าว
หลังจาก ‘X2 Pattaya Oceanphere’ ซึ่งเป็นพูล วิลล่า คุณเชนก็เริ่มกลับมาพัฒนาโครงการคอนโดฯ อีกครั้ง กับ ‘Best Western Premier Bayphere Pattaya’ ติดชายหาดย่านนาจอมเทียน ซึ่งทำให้คุณเชนค้นพบว่าตลาดคอนโดมิเนียมในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นตลาดที่การขายไปได้ดี และยิ่งมีแบรนด์ มีโปรกแกรมการลงทุนร่วมด้วย ก็ยิ่งได้รับความสนใจ จึงได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาโครงการ ‘BluPhere Pattaya’ ในราคาประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากเช่นกัน จากนั้นก็ได้เริ่มขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกไปในโซนพัทยาเหนือ ย่านวงศ์อำมาตย์ได้แก่ ‘Wyndham Atlas Wongamat Pattaya’ ต่อด้วย ‘Ramada By Wyndham Mira North Pattaya’ และ ‘Bayphere Premier Suites’
และในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ คุณเชนได้เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนพัฒนา ซึ่งเป็นที่มาของ ‘LEROY Ruamrudee’ “เราอาจจะคิดไม่เหมือนใคร เราไม่ใช่ดีเวลล็อปเปอร์ที่สร้าง ขาย แล้วก็จบ ในพัทยาเรามองโมเดลของคนที่สร้าง ขาย และดูแลในเรื่องการลงทุนให้กับผู้ซื้อด้วย พอเข้ามาในกรุงเทพฯ เราก็พยายามหาที่ดินแปลงสวย ทำเลในเมือง และหาโพรดักส์ที่ไม่มีดีเวลล็อปเปอร์เจ้าใหญ่เข้ามาทำ ขณะที่การแข่งขันกับรายกลางและรายเล็กซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดเนียมนอกเมืองก็มีไม่มาก โดยเราเริ่มจากร่วมฤดี ซอยสอง ซึ่งเป็นทำเลใจกลางเมือง บนที่ดินแปลงไม่ใหญ่ แล้วพัฒนาเป็นเป็นเพนท์เฮาส์แนวตั้ง สูง 7 ชั้น 6 ห้องนอน 10 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 6 คัน มีสระว่ายน้ำและมีลิฟท์ส่วนตัว ซึ่งก็ขายหมด และต่อยอดด้วยการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ กับ ‘Walden Asoke’, ‘Walden Sukhumvit 39’ และ ‘Walden Thonglor 8’ โดย ‘Walden’ เป็นแบรนด์ที่เราสร้างขึ้นมา สำหรับห้องในโครงการลูกค้าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อลงทุนปล่อยเช่าก็ได้ ไม่ว่าจะปล่อยเช่าให้ชาวยุโรปหรือญี่ปุ่น ซึ่งเราเรามีทีมที่สามารถดูแลบริหารการเช่าให้กับทั้งชาวยุโรปและญี่ปุ่น”
หลังเข้ามาลุยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ก็เป็นช่วงที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาวะเศรษฐกิจแล้ว โควิด-19 ยังส่งผลให้เทรนด์ในการเลือกที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งสำหรับ ฮาบิแทท กรุ๊ป ดีเวลล็อปเปอร์ที่มีเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องมีการปรับตัวเช่นกัน
Highland Park Pool Villas Pattaya
“เราเป็นดีเวลล็อปเปอร์ที่ทำคอนโดฯ 75% ที่ดินของเราจะไปในทางของคอนโดมิเนียมค่อนข้างเยอะ แต่ในช่วงโควิด เราค้นพบว่าเทรนด์ของตลาดมันเปลี่ยน คนต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ก็ต้องมาดูกันว่าอะไรที่ปรับเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน อะไรที่เริ่มเดินไปแล้วก็แค่รอจังหวะที่ดีในการเปิดขาย ในปีนี้ก็เราเลยเปิดตัวโครงการ ‘Highland Park Pool Villas Pattaya’ พูล วิลล่า 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ราคา 8 – 15 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 51 ไร่ ย่านบางละมุง มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างฮาบิแทท กรุ๊ป กับคุณรัฐกิจ เฮงตระกูล แลนด์ลอร์ดรายใหญ่ในพื้นที่ชลบุรี-พัทยา ในนามบริษัท ฮาบิแทท วิลล่า จำกัด โดยฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วน 70% และคุณรัฐกิจถือหุ้นในสัดส่วน 30% ในเฟสแรกจะนำร่องพัฒนาจำนวน 65 ยูนิต”
Highland Park Pool Villas Pattaya
“สำหรับช่องว่างทางการตลาดที่เรามองเห็นในช่วงโควิด และทำให้ตัดสินใจทำโครงการ ‘Highland Park Pool Villas Pattaya’ ก็เพราะในเมืองท่องเที่ยวตลาดคอนโดฯ ได้อยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ตลาดแนวราบราคา 30 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งเป็นตลาดลักชัวรี่กลับขายดีมาก เพราะด้วยพฤติกรรมที่ต้องให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะที่ก็ยังต้องการพื้นที่มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด แนวทางการพัฒนาโครงการของเราจึงกลับมาที่การทำบ้านพร้อมที่ดินที่มีสระว่ายน้ำ ซึ่งสำหรับตลาดในพัทยา จากการเซอร์เวย์เราพบว่าซัพพลายในกลุ่มพูล วิลล่ามีน้อยมาก และส่วนใหญ่จะทำโดยดีเวลล็อปเปอร์ท้องถิ่น รายเล็กๆ บางโครงการทำ 8 หลัง บางโครงการทำ 15-20 หลัง เราก็เลยมองว่าหากเรามาทำในสเกลที่ใหญ่หน่อย ซึ่งมีข้อดีคือสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ ซึ่งของเรา 50 ไร่ สามารถทำพื้นที่ส่วนกลางได้ 3-4 ไร่ เมื่อเรานึกถึงโครงการพูล วิลล่า ที่มีบ้านพักที่สวยงาม และยังสามารถมาใช้ส่วนกลางขนาดใหญ่ด้วยกันได้ มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า ขณะที่มีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. ก็ยิ่งทำให้โครงการมีเสน่ห์มากขึ้น เพิ่มศักยภาพของโครงการได้มากกว่า และเป็นจุดที่โดดเด่นและได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดด้วย” คุณเชน กล่าว
Highland Park Pool Villas Pattaya
สำหรับในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้เพียงแค่ทำให้เกิดโครงการ ‘Highland Park Pool Villas Pattaya’ เท่านั้น หากแต่ยังทำให้คุณเชนหันกลับมาทบทวนการปรับพอร์ตการพัฒนาโครงการของฮาบิแทท กรุ๊ป เพื่อก้าวต่อไปที่มั่นคงของบริษัทด้วย
“ในช่วงสองปีที่เกิดโควิด ทำให้เราคิดว่าเราต้องดำเนินธุรกิจแบบมีการกระจายความเสี่ยง จากเดิมที่เราทำแนวสูง 75% แนวราบ 25% ก็คิดว่าควรจะปรับมาเป็นทำแนวสูง 60% และแนวราบ 40% ภายใน 1-2 ปี และอาจจะกลายเป็นแนวสูง 50% และแนวราบ 50% ใน 3 ปี โดยหลังจากนี้เราก็คงจะมองการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น และสัดส่วนในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นโมเดลที่เน้นพัฒนาอสังหาฯ เพื่อเรียลดีมานด์มากกว่าการลงทุน และเติบโตโดยการเพิ่มทำเล โดยไม่จำเป็นจะต้องกระจุกการพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลเดิม ซึ่งการปรับพอร์ตดังกล่าว อีก 3 ปีก็น่าลงตัว และทำให้บริษัทมีความแข็งแรงมากขึ้น มีจำนวนขาเก้าอี้รองรับมากขึ้น ไม่ได้มีเซ็กเมนต์ใดมากเกินไป และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
“โดยภาพรวมของฮาบิแทท กรุ๊ป เราเป็นดีเวลล็อปเปอร์ไซส์ไม่ใหญ่ ดีเอ็นเอของเราคือเน้นโมเดลและสินค้าที่ไม่เหมือนใคร ให้ความสำคัญในเรื่องของดีไซน์ และทำเลต้องเด่น โดยค่อยๆ ทำแต่ละโครงการให้ดีที่สุด สร้างโพรดักส์แต่ละตัวให้เป็นแลนด์มาร์ค มีจุดขาย คือเราทำธุรกิจบน Passion ของเรา และไม่ได้ทำเพราะมองผลตอบแทนเป็นตัวเลข แบบต้องมีกำไรเยอะ คือถ้ากำไรเยอะๆ แต่ทำแล้วเราไม่สนุกหรือมีความสุข เราก็จะเลือกพัฒนาโครงการที่กำไรน้อยลงมาหน่อยแต่เราสนุกกับมัน คือเราเลือกที่จะเปลี่ยนปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไปเป็นความท้าทาย และด้วยความที่เราสนุกกับมัน เมื่อเราประสบความสำเร็จก็เหมือนกับเราได้เอาชนะ และได้ไปถึงเป้าหมายที่เราวางไว้” คุณเชน กล่าวทิ้งท้าย