กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ โชว์ผลงานโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ปัจจัยจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการตลาดที่เข้มแข็ง เผยปี 65 โตทะลุเป้า คาดปี 66 เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลตลาดรับสร้างบ้านโต 5-7% พร้อมตั้งเป้ายอดขายกลุ่มบริษัทโตต่อเนื่อง 1,200 ล้านบาท ชี้หัวใจสำคัญของการรับสร้างบ้านไม่ได้อยู่ที่การเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่อยู่ที่คุณภาพมาตรฐาน

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวว่า กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียงมากว่า 20 ปี โดยกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ประกอบด้วยบริษัทในเครือ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งรับสร้างบ้านในระดับราคา 2-8 ล้านบาท บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งรับสร้างบ้านในระดับราคา 8-20 ล้านบาท และบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งรับสร้างบ้านในระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป

นายสุธี กล่าวอีกว่าในช่วงวิกฤตโควิ-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยในปี 2563 เป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มมชะงักงัน เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มีข้อมูล และไม่มีวัคซีน จนกระทั้งปี 2564 ซึ่งโลกเริ่มรู้จักแนวทางการป้องกันตลอดจนมีวัคซีน เศรษฐกิจจึงเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดีเท่าที่ควร

ทั้งนี้ แม้ในช่วงวิกฤต แต่ผลประกอบการของบริษัทกลับเติบโตสวนกระแส โดยในปี 2563 บริษัทมียอดจอง 700 ล้านบาท และในปี 2564 บริษัทมียอดขายเติบโตขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท โดยสาเหตุที่บริษัทยังสามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากบริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการให้ความสำคัญกับคุณภาพการก่อสร้างบ้าน ประกอบกับบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงสามารถทำการตลาดได้อย่างต่อเนื่องแม้ในยามวิกฤต ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกสำหรับลูกค้า เนื่องจากลูกค้าจะมีความระมัดระวังในด้านความเสี่ยงจากการใช้เงินมากขึ้นในยามที่เศรษฐกิจถดถอย และมักตัดสินใจเลือกใช้บริการรับสร้างบ้านกับบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ

สำหรับในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายเทียบเท่าปี 2564 เนื่องจากนโยบายของบริษัทไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ความสำคัญกับหัวใจหลักที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์นั่นคือคุณภาพมาตรฐาน อย่างไรก็ดี บริษัทสามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้า โดยทำยอดขายได้ 1,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนรายได้มาจากบริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ในสัดส่วน 40% บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ในสัดส่วน 40% บริษัท และบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ในสัดส่วน 20% และได้มีการส่งมอบบ้านให้ลูกค้าไปกว่า 100 หลัง   

สำหรับในปี 2566 นายสุธี ให้ข้อมูลว่าเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าปี 2565 โดยคาดการณ์ว่า GDP น่าจะเติบโตในระดับ 3% หรือมากกว่านั้น โดยในช่วงครึ่งปีแรก อาจยังไม่เห็นภาพชัดนัก เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในยุโรปได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้ภาคการส่งออก ซึ่งสร้างรายได้หลักให้ประเทศถึง 70% ได้รับผลกระทบตามไปด้วย  อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในยุโรปน่าจะดีขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ภาคการส่งออกของไทยกลับมาดีขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นช่องทางในการสร้างรายได้หลักให้ประเทศไทยอีกด้านหนึ่ง น่าจะมีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย จำนวน 25-30 ล้านคน ซึ่งคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มที่ดีน่าจะมาช่วยชดเชยรายได้จากการส่งออกที่หายไปได้

สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้าน ในภาพรวมคาดว่าน่าตลาดน่าจะโตขึ้น 5-7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้คนตัดสินใจสร้างบ้านมากขึ้น โดยในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ในปี 2566 บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต ซึ่งเป็นการเติบโตแบบไม่ก้าวกระโดด ขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพมาตรฐานการก่อสร้างบ้าน โดยตั้งเป้าหมายยอดขายเอาไว้ที่ 1,200 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ยังมาจากบริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ในสัดส่วน 40% บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ในสัดส่วน 40% บริษัท และบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ในสัดส่วน 20% เช่นเดิม ซึ่งในไตรมาสแรก มียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 100 ล้านบาท และในปี 2566 บริษัทจะยังคงตรึงราคารับสร้างบ้านไว้ตามเดิม เนื่องจากได้มีการปรับราคาไปแล้ว 7% ในปี 2565 จากปัจจัยต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น

“การตั้งเป้าการเติบโตต้องทำ เพราะเป็นความก้าวหน้าขององค์กร แต่ต้องเติบโตอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงหัวใจสำคัญที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดแม้ในสภาวะวิกฤต นั่นคือคุณภาพมาตรฐาน สำหรับ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ราก็จะโตไปเรื่อยๆ โดยโตแบบมีคุณภาพ ดูแลธุรกิจได้ดี และลูกค้ายังพอใจ” นายสุธี กล่าว

ทั้งนี้ นายสุธี ยังให้ข้อมูลทิ้งท้ายด้วยว่า สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นธุรกิจที่เข้ามาทำง่าย เนื่องจากใช้ต้นทุนไม่เยอะ และออกจากธุรกิจง่ายเช่นกัน หากดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงแต่การเติบโต แต่ไม่คำนึงถึงคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งสำหรับในปัจจุบัน แม้ในองค์กรที่ดำเนินธุรกิจมานาน แต่ไม่มีการปรับตัวให้ทันยุค ก็จะอยู่ในธุรกิจยากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคยุคนี้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น มีความรู้เรื่องการก่อสร้างบ้านมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องปรับให้ทันยุค ตลอดจนให้ความสำคัญกับคุณภาพ มาตรฐาน ซึ่งก็จะทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าเลือกมาใช้บริการอีกด้วย