CHEWA กางแผนปี 65 ทุ่มงบประมาณ 1,200 ล้านบาท ซื้อที่ดินเพื่อเตรียมเพิ่ม 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยทีมรุกตลาดบ้านมือสองกับ Chewa Renue ตั้งเป้าก้าวสู่ผู้นำเบอร์ 1 ด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย วางเป้ารายได้ปีนี้ 3 พันล้านบาท
นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ปัจจุบันชีวาทัยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 24,998 ล้านบาท โดยมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบครอบคลุมทุกระดับราคา ตั้งแต่ 2-40 ล้านบาท
สำหรับในปี 2564 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้าที่ค่อนข้างรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในส่วนของชีวาทัย ผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2664 มีรายได้รวม 1,601 ล้านบาท กำไรสุทธิ 55 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2565 คาดการณ์ว่าตลาดอสังหารริมทรัพย์จะเติบโต 15-20% เนื่องจากสังคมเริ่มมีความคุ้นเคยกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลุ่มคนที่มีฐานะระดับกลาง-บนที่มีกำลังซื้อก็จะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยทั้งที่อยู่อาศัยหลังแรก และการขยับขยายที่อยู่อาศัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือแยกตัวออกมาซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เนื่องจากยังมีการ Work From Home ซึ่งแต่ละคนต้องการพื้นที่ในการทำงานที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยคงยังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงิน ประกอบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเร่งระบายสต๊อกสินค้า ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้ที่อยู่อาศัยในราคาไม่สูง แต่ขณะเดียวกันก็นำไปสู่การเกิดภาวะสงครามราคาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนลูกค้าชาวจีนซึ่งยังไม่น่าจะเดินทางออกมานอกประเทศได้อย่างสะดวกในปีนี้ เนื่องจากมาตราการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้จึงอาจจะยังไม่ดีนัก และน่าจะดีขึ้นในปีหน้าที่ลูกค้าชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่งสะดวก
ชีวาทัย ปิ่นเกล้า
นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับชีวาทัย ในปี 2565 คาดว่าจะมีรายได้ 2,800-3,000 ล้านบาท เนื่องจาก 2 โครงการใหม่ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้ และโครงการเดิมที่ยังมี Backlog ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง โดย 2 โครงการที่กำลังก่อสร้าง และคาดว่าจะรับรู้รายได้ตามกำหนดในปีนี้ ได้แก่ โครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า จำนวน 593 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,587 ล้านบาท โดยจะพร้อมโอนและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ปี 2565 และโครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการ 994 ล้านบาท พร้อมโอนและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565
ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2)
ด้านการลงทุน บริษัทวางแผนซื้อที่ดินด้วยงบลงทุน 1,200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติมตามเป้าหมาย 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค 2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮมแบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท
นอกจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทยังเล็งเห็นถึงโอกาสตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยจุดขายที่สำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยมือสองคือ “ทำเล” และ “ขนาด” ที่เข้ามาตอบโจทย์วิถีการดำรงชีวิตแบบนิวนอร์มอล บริษัทจึงเปิดทีมรุกธุรกิจตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง ในนาม “CHEWA RENUE” โดยนำจุดเด่นด้านการตรวจสอบคุณภาพ บริการหลังการขาย และเพิ่มแผนการตลาดพร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัยมือสองให้มากขึ้น โดยคาดหวังว่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายและสร้างกระแสในตลาดที่อยู่อาศัยมือสองได้เป็นอย่างดี ตั้งเป้า 3 ปี มีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับช่องทางนี้ 400 ล้านบาท เป็นการต่อยอดจากรายได้ในธุรกิจหลักอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ชีวาทัยยังคงยึดมั่นด้านคุณภาพและบริการหลังการขายจาก “ชีวาแคร์” ตั้งเป้าก้าวขึ้นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท พร้อมกันนี้ยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด ตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย โดยในปี 2564 บริษัทได้ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพอยู่ในระดับที่ดีมาก มีอัตราส่วนการตรวจรับห้องครั้งแรก ( ZERO DEFECT) สูงถึง 90% ในโครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 เฟส 1 และกว่า 85% ที่โครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค จรัญ 13 ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับอัตราปกติในตลาด