ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจปี 65 พร้อมลุยทุกสถานการณ์ปีเสือทอง ชูจุดแข็งสินค้าที่อยู่อาศัยหลากหลาย สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง เดินหน้าเต็มสูบเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 34 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท มั่นใจเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งรายได้และกำไร
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ว่ามีการขยายตัวเล็กน้อยจากปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรควิด-19 ยังคงทวีความรุนแรง ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งในปี 2564 มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยที่สุดในรอบ 10 ปี ส่วน ยอดขายรวมในตลาดอาสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจากคอนโดมิเนียม 38% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2563 ขณะที่สัดส่วนยอดขายโครงการแนวราบอยู่ที่ 62% ซึ่งมากกว่ายอดขายโครงการแนวราบในปี 2563 อย่างเห็นได้ชัด
ด้านทิศทางที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยไทยมีจำนวนประชากรค่อนข้างคงที่ ประมาณ 70 ล้านคน ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มทำได้ค่อนข้างจำกัด ขณะที่บ้านราคาต่ำจะขายได้ยากขึ้น เนื่องจากประชากรที่มีรายได้ปานกลาง-ค่อนข้างน้อย (น้อยกว่า 30,000 บาท) มีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือน และ SMEs มีรายได้ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น ทั้งจากการขึ้นราคาของเหล็ก ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 30% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการขึ้นราคาของปูนซีเมนต์และค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาบ้านสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดอสังหาฯ เพราะจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อบ้านของลูกค้า
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ดร.ประทีป กล่าวว่าผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จะหันมาพัฒนาบ้าน 3-4 ชั้นมากขึ้น แทนที่บ้าน 2 ชั้น เพื่อให้คุ้มค่ากับราคาที่ดิน ซึ่งจะทำให้บ้านมีราคาสูงขึ้น และจะทำให้บ้านเดี่ยวในเมืองเป็นสินค้าสำหรับผู้มีรายได้สูง สำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางจะมีความสามารถในการซื้อบ้านแฝด ทาวเฮาส์ และคอนโดมิเนียม ส่วนผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างน้อยจะสามารถเข้าถึงคอนโดมิเนียมราคาถูกเท่านั้น
ดร.ประทีป เปิดเผยอีกว่า ในปี 2564 บมจ.ศุภาลัยมียอดขายรวม 31,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมียอดขาย 26,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 24,000 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการร่วมทุนในต่างประเทศ 7,000 ล้านบาท ขณะที่การขยายตลาดที่อยู่อาศัยออกสู่ต่างจังหวัดก็ยังเดินหน้ากระจายการลงทุนต่อเนื่อง โดยปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 24 จังหวัด โดยในปี 2565 ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้เพราะบมจ.ศุภาลัย มีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง มีจำนวนโครงการและสินค้าที่หลากหลายในแต่ละจังหวัด ประกอบกับมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และมีระบบการควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล ISO 9001 สินค้าที่บริษัทสทำการพัฒนาจึงเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ต่างจังหวัด และต่างประเทศ
สำหรับในปี 2565 ศุภาลัยมีความเชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ จะเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยอุปทานจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงหรือเรียลดีมานด์ โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวที่มียอดขายทรงตัวแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งในปี 2565 คาดการณ์ว่าการเติบโตจะดีขึ้นตามการกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง แต่เนื่องจากกิจการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงหายไป ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ในระยะสั้น ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยภายใต้สินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มความต้องการ แบ่งเป็นสินค้าที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รีสอร์ทหรูมาตรฐานระดับสากล และเดินหน้ารุกตลาดภูมิภาค ขยายการลงทุนในต่างประเทศ และขยายการเช่าเพิ่มขึ้น
ด้าน นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ยอดขายจะมีการเติบโตขึ้น แต่ก็เป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปี 2563
สำหรับศุภาลัย ในปี 2564 มีการเกิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่ารวม 24,790 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 9 โครงการ คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 1 โครงการ และโครงการแนวราบในต่างจังหวัด 12 โครงการ คอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด 1 โครงการ โดยมีการเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปในปี 2565 บางส่วน ทั้งนี้ พบว่าในปี 2564 โครงการแนวราบทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดทำยอดขายได้ดี ขณะที่คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ทำยอดขายได้ดีกว่าคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ ซึ่งสำหรับในปี 2665 บริษัทคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น และเมื่อกำลังซื้อกลับมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะมียอดขายที่ดีด้วยเช่นกัน โดยในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบจะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง และตลาดคอนโดมิเนียมก็น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ในปี 2565 บมจ.ศุภาลัยตั้งเป้าหมายยอดขายในประเทศเอาไว้ที่ 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 29,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 31 โครงการ (กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 13 โครงการ ต่างจังหวัด 18 โครงการ) และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ (กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 โครงการ ต่างจังหวัด 1 โครงการ) คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท
“สำหรับในปี 2565 เราจะรุกตลาดแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม เนื่องจากในปี 2564 มีอุปทานบ้านแนวราบเพิ่มในตลาดจำนนวนไม่มากนัก ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตจากปีก่อนหน้าอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นสินค้า 88% ที่จะเปิดตัวในปีนี้จึงเป็นโครงการแนวราบ ส่วนคอนโดมิเนียมก็ยังคงมีการเปิดตัวอยู่ แม้ว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตไม่มาก ลดลงจากช่วง 2-3 ปีก่อนอย่างชัดเจน ทั้งจากการหายไปของนักลงทุนและลูกค้าชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลที่ลูกค้ามีความต้องการจริงๆ และพัฒนาเพื่อเติมอุปทานเข้าไปในตลาดบ้าง ในจำนวนที่ไม่ได้เยอะมาก ขณะที่เห็นอัตราการดูดซับคอนโดมิเนียมฟื้นตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นในอีก 2-3 ปีที่อุปทานเก่าๆ ในตลาดถูกดูดซับหมดไป เราจะเห็นยอดขายคอนโดมิเนียมไปได้อย่างต่อเนื่อง” นายไตรเตชะ กล่าว
นอกจากนี้บมจ.ศุภาลัยยังมีแผนเปิดตัวแบรนด์บ้านใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยทะยอยเปิดตัวตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้วถึง 4 แบรนด์ และออกสตาร์ทกับโครงการแรกของปี 2565 กับแบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” โดยหวังเป็นทางเลือกแรกของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนในทำเลดังกล่าว จำนวน 86 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 20-30 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นกัน