กลุ่มบิวท์ฯ เปิดมุมมองแนวคิดการทำธุรกิจรับสร้างบ้านปี 68 มุ่งสร้างผลงานคุณภาพ ให้สะท้อนภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ในทุกมิติ เพื่อเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและอยู่รอดในทุกสถานการณ์

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้านคุณภาพ กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจรับสร้างบ้านซึ่งเป็นบ้านที่ผู้บริโภคปลูกสร้างเอง (ไม่รวมธุรกิจบ้านจัดสรร) ทั่วประเทศ มีมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งอยู่ในมือของผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยกว่า 90% และอยู่ในมือของบริษัทรับสร้างบ้านประมาณไม่เกิน 15,000 ล้านบาท หรือไม่เกิน 7.5% ซึ่งนับว่าน้อยมาก ทั้งนี้ ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่นิยมใช้บริการของบริษัทรับสร้างบ้านมากนัก ไม่ใช่เป็นเหตุผลด้านราคาที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับเหมารายย่อย แต่ปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจอยู่ที่ความคุ้มค่า กล่าวคือ แม้ว่าการใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้านจะมีราคาก่อสร้างสูงกว่าผู้รับเหมารายย่อย แต่หากบริษัทรับสร้างบ้านปลูกสร้างบ้านได้มาตรฐาน งานก่อสร้างมีคุณภาพดี (ทั้ง SPEC วัสดุ และฝีมือช่าง) งานถูกต้องตามหลักวิชาช่าง ทั้งวิศวกรรม และสถาปัตยกรรม งานมีความปราณีตเรียบร้อยสมกับราคาบ้าน รวมทั้งการบริการก่อนและหลังการขายที่ดี มีการรับประกัน ทั้งโครงสร้างบ้าน วัสดุ งานฝีมือ และให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค ในเรื่องการบริการอย่างครบวงจร เช่น งานออกแบบก่อสร้าง ขอใบอนุญาตก่อสร้าง ขอน้ำ ขอไฟฟ้า เลขที่บ้าน ฯลฯ  ก็เชื่อว่าผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการของบริษัทรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้นอีกมาก

นายสุธี กล่าวอีกว่า สำรับธุรกิจรับสร้างบ้าน กลุ่มลูกค้าเป็นเรียลดีมานด์ แม้จะอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีก็ยังมีดีมานด์ และบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียงน่าเชื่อถือต่างก็ยังมีผลประกอบการที่เติบโต ซึ่งสำหรับ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เองก็มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นโดยลำดับ โดยในปี 2565 มียอดเซนต์สัญญารับสร้างบ้านประมาณ 180 หลัง มูลค่า 900 ล้านบาท ก่อนที่ปี 2566 ยอดเซนต์สัญญารับสร้างบ้านจะพุ่งสูงขึ้นถึง 250 หลัง มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ และเกินกว่ากำลังการผลิตขององค์กร อย่างไรก็ตาม กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ยังคงต้องการรักษามาตรฐานการก่อสร้างบ้านให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการส่งมอบบ้านล่าช้าไปบางส่วน ประมาณ 40% ของสัญญารับสร้างบ้าน ทำให้กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กลับมานั่งคิดทบทวนถึงการเติบโตควบคู่ไปกับการสร้างบ้านคุณภาพแบบยั่งยืน ถึงแม้จะทำให้บริษัทเติบโตในสัดส่วนที่น้อยลง โดยในปี 2567 กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กลับมียอดเซนต์สัญญารับสร้างบ้านประมาณ 180 หลัง มูลค่า 900 ล้านบาท และในปี 2568 กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ตั้งเป้าการเติบโตไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือยอดเซนต์สัญญารับสร้างบ้านประมาณ 170-200 หลัง

“สำหรับมุมมองการทำธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2568 และในอีก 3 ปีข้างหน้า กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จะเน้นขับเคลื่อนโดยพัฒนาแบรนด์เพื่อนำธุรกิจขององค์กรให้ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นภายในองค์กรเพื่อส่งมอบความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้แม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19  หรือแม้แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาต่อเนื่องจากหลากหลายปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ ซึ่งถือเป็นการถอดบทเรียนสำคัญที่ทำให้ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ มุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตที่ไม่ได้สะท้อนออกมาแค่ในด้านของยอดขายและกำไร แต่มองที่การสร้างสรรค์กลยุทธ์อย่างไรที่จะนำองค์กรเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคและก้าวสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากปัจจุบันสู่อนาคต”

“กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงมีกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 โดยมีแนวคิดในการทำการตลาดแบบยั่งยืน (Sustainable Marketing) ทั้งด้านคุณภาพงานก่อสร้าง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพตั้งแต่วันแรกของการก่อสร้าง และงานบริการที่ครบวงจร ควบคู่การทำ Branding เพื่อสร้างการจดจำและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กรในระยะยาว โดยคำนึงถึงปัจจัยหลักในการบริหารจัดการทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่พนักงาน ผู้รับงาน ผู้บริโภค ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง สิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง โดยไม่เน้นแข่งขันด้านราคาและโปรโมชันที่ดึงดูดลูกค้าได้ในระยะสั้น หรือการขยาย Capacity ในการรับงาน เพื่อให้มีปริมาณมากขึ้น แต่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพหรือมาตรฐานงานก่อสร้างได้ จนส่งผลกระทบต่อลูกค้าและความน่าเชื่อถือของแบรนด์”

“โดยจุดสำคัญที่จะเน้นย้ำตั้งแต่แรก คือการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของไซต์งานก่อสร้าง เพราะเป็นการสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ได้อย่างแข็งแกร่ง และช่วยขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นได้  เพราะไซต์งานก่อสร้างถือเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่แสดงถึงภาพลักษณ์ขององค์กรได้เป็นอย่างดี จนเกิดเป็น Storytelling ที่สร้างความประทับใจให้เห็นถึงกระบวนการก่อสร้าง ไม่ใช่แค่บ้านที่สร้างเสร็จ  ให้เกิดเป็นภาพจำแก่ลูกค้าและผู้ที่พบเห็น จนบอกต่อกันในกลุ่มเพื่อนบ้านและผู้บริโภค เพราะกว่าจะเป็นบ้านสักหลังเราไม่ได้อยู่แค่กับลูกค้า แต่เราต้องอยู่ในพื้นที่ของชุมชน สังคม อย่างน้อยๆ 8-12 เดือน หรือมากกว่านั้น การดูแลมาตรฐานและคุณภาพของไซต์งานจึงเป็นมุมมองที่สะท้อนภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในการสร้างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังได้ผนึกกำลังกับทีมผู้รับงาน วิศวกร ทีมช่าง พนักงานขาย และยังเน้นให้ความรู้ทีมซัพพอร์ตหลังบ้านทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ด้วยการจัดอบรม การจัดประชุมให้ความรู้ทีมงานเรื่องเทรนด์สเปควัสดุต่างๆ การเพิ่มขั้นตอนการตรวจเช็คความเรียบร้อยของไซต์อย่างละเอียดก่อนส่งมอบ โดยบริษัทฯ ได้ตั้งคณะผู้ตรวจสอบบ้าน ทั้งทีมผู้บริหารฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายก่อสร้าง และ Inspector เสมือนตัวแทนของลูกค้าที่ตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้าง สู่ผลลัพธ์ที่นอกจากจะส่งมอบบ้านคุณภาพถึงมือลูกค้าแล้ว ยังเป็นการส่งมอบประสบการณ์การสร้างบ้านที่ดีให้แก่ลูกค้าอีกด้วย และเมื่อลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของแบรนด์  แบรนด์ก็จะแข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน” นายสุธี กล่าว

นายสุธี กล่าวต่ออีกว่า การจะเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคให้เกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจในแบรนด์ จนส่งผลให้ตัดสินใจสร้างบ้านในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นฟูได้นั้น จะต้องนำมาด้วยภาพลักษณ์ที่ดีและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เพราะปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้หลากหลายและพิจารณาอย่างละเอียดมากขึ้น เน้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้มากกว่าราคา โดยเฉพาะแบบบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการ และความมั่นใจในเรื่องการผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างบ้านที่มั่นคงแข็งแรง ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ที่ลูกค้าให้การยอมรับมาอย่างยาวนาน

“สำหรับเป้าหมายในปี 2568 เราไม่ได้ตั้งเป้าการเติบโตที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่เป็นการรักษาเป้าหมายที่จะช่วยสร้างฐานของรายได้ที่แข็งแรงและยั่งยืนได้ในระยะยาวเป็นหลัก และด้วยสถานการณ์ตลาดภาพรวมในปีนี้ ยังมีความท้าทายอยู่ในหลายๆ ด้าน ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สถานการณ์ทางการเมือง และการปรับขึ้นราคาวัสดุก่อสร้างต่างๆ ฯลฯ จึงตั้งเป้าการเติบโตไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยกลุ่มบ้านระดับราคาที่น่าสนใจและมีแนวโน้มขยายตัวยังคงเป็นเซกเมนต์ประมาณ 5-10 ล้านบาท และ 10 ล้านบาทขึ้นไป  ด้านแผนงานการตลาดเน้นการสื่อสารทั้งสื่อออฟไลน์ ออนไลน์ และกิจกรรมทางการตลาด ทั้งการออกบูธ และกิจกรรม Site Seeing ที่เปิดบ้านให้ลูกค้าได้เจาะลึกทุกขั้นตอน โดยเน้นการสื่อสารที่ชูจุดแข็งเรื่องผลงานสร้างบ้านคุณภาพ การสร้างคอนเทนต์จากรีวิวของลูกค้าที่ใช้บริการจริง  และการยกระดับการบริหารจัดการในทุกขั้นตอนงานก่อสร้าง   ควบคู่ไปกับการพัฒนาการดีไซน์แบบบ้าน ฟังก์ชันภายในบ้าน เทรนด์วัสดุใหม่ๆ และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไว้เติมเต็มความต้องการของลูกค้า  และจากความเชี่ยวชาญของทีมสถาปนิกที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย จึงสามารถออกแบบและาพัฒนาแบบบ้านที่ครอบคลุมทุกความต้องการ อาทิ แบบบ้านสไตล์ Green Series, Modern Luxury Garage House, Modern Pool Villa ฯลฯ  ปัจจุบันมีแบบบ้านให้เลือกสรรกว่า 120 แบบ ในดีไซน์และคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกัน” นายสุธี กล่าว