การเคหะแห่งชาติ เปิดบ้าน OPEN HOUSE บมจ.เคหะสุขประชา พร้อมเปิดตัวผู้ถือหุ้นอย่างเป็นทางการ เผยเนื้อหอม ดีเวลล็อปเปอร์จีนสนใจร่วมพัฒนาโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” พร้อม “เศรษฐกิจสุขประชา” ปลูกพืชที่ตลาดต้องการ คาดนำร่องบนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม 1,000 ไร่  

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทย 900,000 คน ไม่มีงานทำ และ 5 ล้านคน ไม่มีบ้าน บมจ.เคหะสุขประชา จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในการทำให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยโดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง พร้อมลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้มั่นคง

“ภารกิจของเคหะสุขประชารุดหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการร่วมมือกันของการเคหะแห่งชาติ รวมถึงกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนให้ความสำคัญกับการสร้างที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบาย สะอาด และปลอดภัย โดยได้ดำเนินการสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้ควบคู่ขนานไปกับโครงการ ให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยกระดับคุณภาพชีวิตได้ในแบบ มีบ้าน – มีอาชีพ – มีรายได้ – มีความสุขนายจุติ กล่าว

ด้านนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และประธานกรรมการ บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บมจ.เคหะสุขประชา มีการเคหะแห่งชาติ ถือหุ้นใหญ่จำนวน 49.0% และกลุ่มผู้ถือหุ้นอีก 6 ราย ประกอบด้วย บริษัท ออมสุข วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด 25.0%, บริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) 11.0%, บริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด 5.0%, บริษัท แฟคซิลิตี้ แมนเนจเมนท์ จำกัด 5.0%, บริษัท มหาจักร อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด 2.5% และบริษัท แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด 2.5% โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 500 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนจากการเคหะแห่งชาติ 245 ล้านบาท และเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ 255 ล้านบาท ทั้งนี้ งบการสร้าง “เคหะสุขประชา บ้านเช่าพร้อมอาชีพ” จะเป็นการระดมทุนจากภาคเอกชนทั้งหมด รวมกว่า 60,000 ล้านบาท โดยทางเคหะสุขประชา ได้แต่งตั้ง บล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางด้านการระดมทุนดังกล่าวด้วย

สำหรับเป้าหมายของการดำเนินงานก่อสร้างโครงการบ้านเคหะสุขประชา บ้านเช่าพร้อมอาชีพจำนวน 100,000 หน่วย จะใช้เวลาดำเนินงานภายในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 ไปจนถึงปี 2568 โดยมีเป้าหมายการก่อสร้างแบ่งเป็นปี 2565-2566 ปีละ 30,000 หน่วย และปี 2567-2568 ปีละ 20,000 หน่วย ซึ่งโครงการบ้านเคหะสุขประชาจะมีการสร้างเศรษฐกิจชุมชนคู่ขนาน ในมิติของ “มีบ้าน – มีอาชีพ – มีรายได้ – มีความสุข” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย ให้สามารถประกอบอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียว พื้นที่สันทนาการ พื้นที่จอดรถ รวมถึงพื้นที่ “เศรษฐกิจสุขประชา” ตามความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการของแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย 6 รูปแบบ คือ เกษตรอินทรีย์, ปศุสัตว์, ตลาด,ศูนย์การค้าปลีกค้าส่ง, อาชีพบริการในชุมชนและชุมชนข้างเคียง และอุตสาหกรรมขนาดเล็ก มุ่งส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระในชุมชน รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจตามภูมิสังคมของพื้นที่นั้นๆ ที่เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนถึงช่องทางการจัดจำหน่าย

ปัจจุบันบมจ.เคหะสุขประชา ได้มีการส่งมอบบ้านเป็นโครงการนำร่องแล้ว ในโครงการ “บ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง” จำนวน 302 หน่วย พร้อมตลาด ตามด้วยโครงการ “บ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า” จำนวน 270 หน่วย พร้อมศูนย์การค้าปลีกค้าส่ง ในอัตราเช่า 1,500 – 3,500 บาท/เดือน

ทั้งนี้ นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เคหะสุขประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังส่งมอบโครงการ “บ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง” และโครงการ “บ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า” โครงการที่จะเดินหน้าพัฒนาต่อไปคือ “โครงการเคหะยั่งยืน” รูปแบบบ้านพักอาศัยชั้นเดียว 4 ห้องนอน บนเนื้อที่ 200 ตร.ว. ที่จังหวัดระยอง จำนวน 208 ยูนิต มูลค่า 140 ล้านบาท พร้อมเศรษฐกิจสุขประชาเกษตรอินทรีย์  นอกจากนั้น โครงการ “เคหะสุขประชา บ้านเช่าพร้อมอาชีพ” ยังได้รับความสนใจจาก บริษัท Hong Kong Lianwang ดีเวลล็อปเปอร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยจากประเทศจีนที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ “บ้านเช่าพร้อมอาชีพ” ในรูปแบบ Building-Operation-Transfer โดย Hong Kong Lianwang จะดำเนินการก่อสร้าง ดำเนินการ และโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนั้นยังสนใจพัฒนาเศรษฐกิจสุขประชาในรูปแบบการปลูกพืชที่ตลาดมีความต้องการ โดยทาง Hong Kong Lianwang จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายรวมทั้งดำเนินการจัดซื้อผลิตผลและการส่งออก ส่วนการจัดหาที่ดินจะเป็นหน้าที่ของทางบมจ.เคหะสุขประชา โดยปัจจุบันได้มีการเจรจากับสำนักงานปฏิรูปที่ดิน ในการสรรหาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อนำมำพัฒนาโครงการดังกล่าว  นำร่องประมาณ 1,000 ไร่ ในพื้นที่ไม่ไกลเมือง มีสาธารณูปโภค น้ำ ไฟฟ้า และถนนเข้าถึง โดยพื้นที่ที่น่าสนใจอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ด้านที่อยู่อาศัยจะพัฒนาในรูปแบบบ้านพักอาศัยชั้นเดียว พื้นที่ใช้สอย 50 ตร.ม. บนเนื้อที่ 200 ตร.ว. จำนวนประมาณ 200 ยูนิต มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าเช่าที่ดิน)