ซีคอน โชว์ผลงานปี 2565 โตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ฟาดยอดขายเฉียด 2,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าธุรกิจปี 2566 ขยายตลาดออฟไลน์-ออนไลน์ และสร้างโปรดักส์ใหม่ออกสู่ตลาด พร้อมทุ่มงบ 120 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแห่งใหม่ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายทะลุ 2,500 ล้านบาท

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่าจากข้อมูลของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุว่าในปี 2565 ธุรกิจรับสร้างบ้านมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 12,500 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2566 ธุรกิจรับสร้างบ้านจะเติบโตขึ้น 6% โดยมูลค่าตลาดรวมจะอยู่ที่ 13,250  สำหรับซีคอน ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19  ยอดขายไม่ได้ตกลงและเติบโตขึ้น และในปี ปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขาย 1,920 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปี 2564 อยู่ประมาณ 50 ล้านบาท โดยสัดส่วนการขายมาจากช่องทางออนไลน์ 32.30% และออฟไลน์ 67.7 % และมียอดเซ็นสัญญา 1,247 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2564 ที่มียอด 1,007 ล้านบาท และเป็นยอดเซ็นสัญญาที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท เป็นผลจากการไม่หยุดนิ่งในด้านพัฒนากลยุทธ์การตลาด และมองหาโอกาสใหม่ๆ เช่น การให้การบริการ Turn Key ครบวงจร ของ SEACON ID ได้แก่ การสร้างบ้านตามแบบของลูกค้า การออกแบบ การตกแต่งภายใน การออกแบบ Landscape การสร้างสระว่ายน้ำ เป็นต้น ตลอดจนการตอกย้ำความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพและการให้บริการด้วยประสบการณ์กว่า 62 ปี 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับบริษัทในปีที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีความต้องการบ้านขนาดใหญ่และบ้านขนาดกลางเป็นหลัก โดยสัดส่วนยอดขายของซีคอนมากกว่า 50% เป็นบ้านขนาดใหญ่ ราคาบ้าน 8 – 50 ล้านบาทขึ้นไป มีพื้นที่ใช้สอย 351 ตร.ม. ขึ้นไป อีก 35% เป็นบ้านขนาดกลาง ราคา 5 – 7.9 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 200 – 350 ตร.ม. และอีก 15% เป็นบ้านขนาดเล็ก ราคา 2 – 4.9 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า 200 ตร.ม. 

นายมนู กล่าวต่อไปถึงแผนงานปี 2566 อีกว่า ซีคอนตั้งเป้ายอดจองเอาไว้ที่ 2,500 ล้านบาท โดยจะมีการพัฒนาเครื่องมือการตลาดใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพื่อขยายฐานลูกค้าในช่องทางออนไลน์ให้สอดรับกับการบริโภคสื่อที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการคัดสรรสิทธิพิเศษต่างๆ ให้แก่ลูกค้าภายใต้โครงการ SEACON Privileges ขณะเดียวกันช่องทางออฟไลน์มาร์เก็ตติ้ง ยังคงเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง โดยในปี 2566 นี้ซีคอนเตรียมเข้าร่วมกับ 2 งานใหญ่ ได้แก่ “งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2023” ระหว่างวันที่ 8 – 12 มีนาคม 2566 ณ อิมแพค เมืองทองธานี Hall 6 และ “งานบ้านและสวน Select 2023” ระหว่างวันที่ 18 – 26 มีนาคม 2566 ณ ไบเทค บางนา นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาโปรดักส์ใหม่ สไตล์โมเดิร์นมินิมอล (Style Modern Minimal) ซึ่งเป็นเทรนด์ยอดนิยมในปัจจุบัน  โดยจะเปิดตัวพร้อมกันใน 2 งานใหญ่เดือนมีนาคมนี้ 

ทั้งนี้ จากแนวโน้มของตลาดรับสร้างบ้านที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปของบริษัทที่อ่อนนุช ซึ่งมีกำลังการผลิต 60,000 ชิ้นต่อปี รองรับการสร้างบ้านของบริษัทได้ 400 หลัง ซีคอนยังได้ลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแห่งที่ 2 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ มูลค่า 120 ล้านบาท บริเวณลำลูกกาคลอง 12 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยตั้งเป้าการผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปแบบเต็มกำลังการผลิตไว้ที่จำนวน 120,000 ชิ้นต่อปี สามารถรองรับการสร้างบ้านของบริษัทได้ 800-900 หลัง โดยในระยะแรก (เฟสที่ 1) จะผลิตประมาณ 60,000 ชิ้น ต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

“ซีคอนเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทยที่มีประสบการณ์มามากกว่า 62 ปี สร้างบ้านให้ลูกค้ามาแล้วกว่า 20,000 หลัง และเรายังไม่หยุดพัฒนาเพียงเท่านี้ เรายังคงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานของผลงาน ที่มีความทันสมัยและตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องต่อไป” นายมนู กล่าวทิ้งท้าย