ซีบีอาร์อี เผยว่าชาวต่างชาติกลับมาให้ความสนใจซื้อที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ในไทย ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และบ้านพักตากอากาศที่ตั้งอยู่ในทำเลชั้นนำ ตั้งแต่เริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 โดยพบว่ายอดขายผ่านซีบีอาร์อีพุ่งเกินกว่า 200-300% ด้านผู้พัฒนาโครงการก็มีความเคลื่อนไหวเพื่อตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น เตรียมเปิดโครงการใหม่ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในปี 2566 อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลว่า “ปัจจุบันซีบีอาร์อีบริหารการตลาดและการขายให้กับโครงการที่พักอาศัยชั้นนำในไทยเกือบ 30 โครงการ ทั้งในกรุงเทพมหานคร ระยอง หัวหิน และภูเก็ต คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งออกเป็นโครงการบ้าน 58% โครงการคอนโดมิเนียม 40% และโครงการรีสอร์ทหรือบ้านพักตากอากาศ 2%”
โดยในปีนี้ ซีบีอาร์อียังมีโครงการใหม่รอเปิดตัวอีกหลายโครงการ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านเดี่ยวซึ่งยังเป็นที่ต้องการของตลาด อาทิ โครงการ เนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา โครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอย 553-1,005 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำส่วนตัว ราคา 80-150 ล้านบาท บนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ติดกับเนอวานา พอร์ช คอมมูนิตี้มอลล์
โครงการ อาร์ค สุขุมวิท 39 โครงการบ้านระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท 39 ทำเลหายากสำหรับโครงการบ้าน มีความเป็นส่วนตัวสูง ด้วยจำนวนเพียง 12 หลัง การันตีคุณภาพด้วยรางวัลการออกแบบระดับสากล มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 4-5 ห้องนอน พร้อมที่จอดรถ 4-6 คัน ราคา 65-130 ล้านบาท
โครงการ วี อารีย์ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ตั้งอยู่ใจกลางย่านอารีย์ แหล่งไลฟ์สไตล์คนเมือง ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ มีความเป็นส่วนตัวสูงด้วยจำนวนบ้านเพียงแค่ 6 หลัง ราคาเริ่มต้น 82 ล้านบาท
อีกโครงการซึ่งจะเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์สำหรับตลาดบ้านเดี่ยว คือ โครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น ด้วยทำเลโดดเด่น ติดโรงเรียนนานาชาติแฮร์โรว์ อยู่ใกล้สนามบินนานาชาติดอนเมือง ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือกหลากหลาย ครบตามความต้องการของทั้งครอบครัวขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ในราคา 35-80 ล้านบาท
และยังมีโครงการ เมย์ฟิลด์ ปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นทาวน์โฮมส์ระดับพรีเมียม เน้นพื้นที่สีเขียวโปร่งสบาย ตั้งอยู่เยื้องกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ราคาเพียง 13.9-19.8 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ และโครงการ อรุณ II คอนโดมิเนียมไฮไรส์ระดับพรีเมียม เพียง 100 เมตร จาก MRT บางขุนนนท์ จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย ที่สำคัญใกล้โรงพยาบาลศิริราช
ทั้งนี้ โครงการใหม่ที่เตรียมจะเปิดตัวและมีแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อีเป็นตัวแทนในปีนี้มีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำในการบริหารการตลาดและการขายโครงการที่พักอาศัยของซีบีอาร์อี โดยเฉพาะในตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป
ในด้านความต้องการของตลาด ซีบีอาร์อีพบว่าในปี 2565 ที่ผ่านมา เริ่มมีชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวปีที่แล้วทั้งสิ้น 11.2 ล้านคน มาจากในเอเชีย 64% ยุโรป 23% อเมริกาเหนือ 5% ตามมาด้วยตะวันออกกลาง โอเชียเนียหรือกลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และแอฟริกา ซึ่งสัญญาณการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีนัยยะในเชิงบวกและสอดคล้องกับดีมานด์ของชาวต่างชาติในการซื้อที่พักอาศัยในไทย
นางสาวอาทิตยายังเปิดเผยว่า “จากการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการที่ซีบีอาร์อีเป็นตัวแทนบริหารการตลาดและการขาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปนั้น พบว่าผู้สนใจซื้อโครงการที่พักอาศัยจากซีบีอาร์อีตั้งแต่ปี 2565 ถึงต้นปี 2566 คิดเป็นคนไทย 89% และชาวต่างชาติ 11% โดยลูกค้าชาวต่างชาติที่มองหาคอนโดมิเนียมและบ้านส่วนใหญ่มาจากในเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน พม่า สิงคโปร์ และญี่ปุ่น สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่มาจากยุโรป ได้แก่ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน”
“นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบยอดขายโครงการที่พักอาศัยของซีบีอาร์อีในปี 2565 กับปี 2564 ยังพบว่า ลูกค้าชาวต่างชาติซื้อโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นถึง 383% และซื้อโครงการบ้านเพิ่มขึ้น 233% โดยชาวต่างชาติที่ซื้อโครงการบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว รวมทั้งซีบีอาร์อียังพบว่าลูกค้าชาวต่างชาติกลับมาสนใจซื้อวิลล่าตากอากาศอีกครั้งหลังจากที่หายไปก่อนหน้านี้” นางสาวอาทิตยากล่าวเสริม
เมื่อเจาะลึกถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อชาวต่างชาติ ซีบีอาร์อีพบว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่มีวงเงินในการซื้อคอนโดมิเนียมที่ระดับราคา 15-30 ล้านบาท ต้องการคอนโดมิเนียมบนทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะย่านธุรกิจอย่างสีลม สาทร ลุมพินี สุขุมวิท ปทุมวัน และทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 87%
สำหรับโครงการบ้าน ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่มีงบประมาณในการซื้ออยู่ที่ 51-80 ล้านบาท โดยเฉพาะทำเล กรุงเทพตะวันออก ใจกลางเมือง และทำเลรอบนอกฝั่งตะวันออก โดยซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 85% และสำหรับบ้านพักตากอากาศนั้น ลูกค้าชาวต่างชาติมักจะซื้อในราคา 15-30 ล้านบาท โดยสนใจทำเลภูเก็ต และ หัวหิน ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง 71%
จากข้อมูลของซีบีอาร์อีซึ่งเน้นตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ ชาวจีนยังคงเป็นชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยในไทยสูงสุด ส่วนใหญ่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมหรูขนาด 1-2 ห้องนอน ในระดับราคา 15-30 ล้านบาท บนทำเลสีลม สาทร และซื้อเพื่อการอยู่อาศัยเองเป็นหลัก ในส่วนของโครงการบ้าน ชาวจีนต้องการซื้อบ้านขนาด 4 ห้องนอน บนทำเลกรุงเทพตะวันออก และมีงบประมาณในการซื้อตั้งแต่ 30 ถึง 100 กว่าล้านบาท โดยส่วนใหญ่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเช่นเดียวกัน
อีกหนึ่งตลาดต่างชาติที่ซีบีอาร์อีมองว่ามีความน่าสนใจคือตลาดผู้ซื้อชาวพม่า โดยในปีที่ผ่านมา มีลูกค้าชาวพม่าจำนวนหลายรายที่เข้าทำสัญญาซื้อขายโครงการกับซีบีอาร์อี ในระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาท ถึงมากกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า สิงคโปร์ และไทย โดยมีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 91% ลูกค้าชาวพม่าส่วนใหญ่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขนาด 2 ห้องนอน ในระดับราคา 15-30 ล้านบาท และมองหาคอนโดมิเนียมบนทำเลลุมพินีและสุขุมวิท สำหรับโครงการบ้าน ผู้ซื้อชาวพม่าส่วนใหญ่ต้องการบ้านขนาด 4 ห้องนอน ในทำเลกรุงเทพตะวันออกและใจกลางเมือง
นางสาวประกายเพชร มีชูสาร หัวหน้าแผนกซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับตลาดที่พักอาศัยในภูเก็ตว่า “ยอดขายที่พักตากอากาศโดยรวมที่ผ่านซีบีอาร์อีในปี 2565 เพิ่มสูงขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ วิลล่าหรือบ้านพักตากอากาศ ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 69% โดยตลาดต่างชาติที่สนใจโครงการที่พักอาศัยในภูเก็ตเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนี้ ลูกค้าในประเทศยังอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ลูกค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 93% มาจากหลากหลายเชื้อชาติที่เข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ซึ่งได้แก่ รัสเซีย แคนาดา อิตาลี ฝรั่งเศส จีน และอังกฤษ”
“ความต้องการในตลาดวิลล่าภูเก็ตยังคงมีอยู่มากในหมู่ผู้ซื้อที่คุ้นเคยกับเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อเดิมจากโครงการก่อนหน้านี้ หรือจากเพื่อนและครอบครัวที่แนะนำ จากการสำรวจของซีบีอาร์อีในภูเก็ตพบว่าตลาดวิลล่าภูเก็ตยังคงมีลูกค้าที่เข้ามาลงทุนซื้ออย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น รัสเซีย จีน อิตาลี อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย อเมริกา อินเดีย และไอร์แลนด์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเองและปล่อยเช่า” นางสาวประกายเพชรกล่าวเสริม
ซีบีอาร์อีเชื่อว่าตลาดการท่องเที่ยวและตลาดการพักอาศัยแบบลองสเตย์ในปี 2566 จะกลับมาคึกคักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 และจะส่งผลในเชิงบวกอย่างต่อเนื่องต่อดีมานด์การซื้อที่พักอาศัยเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองและเพื่อการลงทุน ทั้งนี้ ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าความต้องการซื้อที่พักอาศัยจากชาวต่างชาติจะครอบคลุมตลาดหลายระดับ และกระจายไปยังทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดที่เป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศชั้นนำ รวมถึงครอบคลุมไปถึงตลาดเช่าอีกด้วย