บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 6 โดยในปี 2564 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 6,589.58 ล้านบาท ขยายตัว 14.3% จากปีก่อนหน้า กำไรสุทธิ 1,389.21 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% รวมถึงการดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เสนอจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.63 บาท/หุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการในปี 2564 ว่าแม้ภาพรวมของตลาดจะไม่สดใสมากนัก มีปัจจัยท้าทายต่างๆ เข้ามามากมาย ทั้งการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าทั่วโลก และในประเทศไทย ภาคกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก นำไปสู่การที่เฟดเร่งการทำ QE Tapering และนโยบายการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป สำหรับบริษัทนั้น ผลประกอบในปี 2564 นับว่าเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมียอดรับรู้รายได้ทั้งปีที่ 6,589.58 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องติดต่อกันมากว่า 6 ปี นอกจากรายได้ที่เติบโตสูงกว่าเป้าหมาย แม้ในสถานการณ์ที่ Demand อ่อนตัวลง ในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างหลายตัวปรับเพิ่มขึ้น บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ในปี 2564 บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.1% สูงกว่า Benchmark ของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 31-32% รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2564 ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 9.1% ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2564 อยู่ที่ 1,389.21 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.1%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 11%

ทั้งนี้ ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท และในปี 2565 นี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการใหม่เพิ่มเติมต่อเนื่องอีก 10 – 12 โครงการ มูลค่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2564 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับเพียง 0.22 เท่า ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 0.31 เท่า สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็ง ศักยภาพในการขยายธุรกิจโดยไม่มีปัญหาสภาพคล่องและความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำโดยเฉพาะในสภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2564 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.63 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 5.7% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.295 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2565 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2565) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 โดยจะนำเสนอการจ่ายปันผลดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ต่อไป