ศุภาลัยเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 68 ชูสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง รองรับการขยายตัวสู่การเป็น Multi-National Company เดินหน้าเปิด 28 โครงการแนวราบ พร้อมรุกเต็มสูบเปิดเพิ่ม 8 โครงการคอนโดฯ สูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 36 โครงการ มูลค่า 46,000 ล้าน หวังดันยอดขายทะลุเป้า 32,000 ล้าน
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 คาดว่าจะมีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยผู้ประกอบการยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการเติบโตของตลาด ทั้งการลดลงของซัพพลายจากการที่บริษัทต่างๆ เปิดโครงการลดลง ที่ดินทำเลดีหายากขึ้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองต่อเทรนด์สีเขียว และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และ IoT โดยมีความท้าทายที่ต้องจับตา เช่น อัตราดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่ยังคงมีโอกาสสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะจากการลงทุนจากต่างชาติ และการขยายตัวของเมืองรอง ในทำเลศักยภาพใหม่ที่น่าจับตามอง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตได้
ทั้งนี้ ในปี 2568 บมจ.ศุภาลัยได้ก้าวสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติจากการขยายการลงทุนในประเทศออสเตรเลียในปลายปี 2567 ซึ่งถือเป็นปีสำคัญแห่งการเติบโตขยายศักยภาพในทุกมิติ ด้วยศักยภาพและความพร้อมของส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงที่สุดและหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 97,876 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 51% อีกทั้งมีทุนหรือส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 52,929 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.85 เท่า และยังสามารถสร้างกำไรสุทธิ 4,201 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในอุตสาหกรรม แสดงถึงความมั่นคงและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
ดร.ประทีป กล่าวอีกว่า ในปี 2568 บรษัทมีแผนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท เพื่อขยายการพัฒนาโครงการในทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมมากถึง 30 จังหวัด นับเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เขาไปพัฒนาโครงการในภูมิภาคมากที่สุด ขณะที่ได้รุกเข้าไปพัฒนาโครงการในจังหวัดที่เป็นเมืองรองมาแล้ว 4-5 ปี อาทิ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลำพูน ลำปาง เชียงราย ซึ่งผลการตอบรับดีทุกจังหวัด
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทาย แต่บริษัทฯ ก็สามารถก้าวผ่านมาได้อย่างมั่นคง ด้วยความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน และความสามารถในการบริหารความเสี่ยง โดยมีการเปิดตัวโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 41 โครงการ มูลค่ารวม 52,380 ล้านบาท มียอดขายรวม 26,743 ล้านบาท
สำหรับแผนงานปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 32,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 36 โครงการ มูลค่ารวม 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งนับเป็นการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมมากที่สุดในรอบ 10 ปี ของบริษัท โดยการพัฒนาโครงการแนวราบ จะเน้นพัฒนาโครงการในราคาที่เข้าถึงได้ เจาะกลุ่มตลาดระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีการพัฒนาแบบบ้านใหม่ เพิ่มการลงทุนในที่ดินขนาดใหญ่ เพื่อสร้างคอมมูนิตี้แห่งการอยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค รวมถึงการเพิ่มระยะเวลารับประกัน โดยโครงการคอนโดมิเนียม โครงสร้างจากเดิม 5 ปี เพิ่มเป็น 10 ปี และส่วนควบจากเดิม 2 ปี เพิ่มเป็น 3 ปี ด้านโครงการแนวราบ ส่วนควบจากเดิม 1 ปี เพิ่มเป็น 3 นำร่องที่โครงการคอนโดมิเนียมศุภาลัย ปาร์ค เอกมัย-พัฒนาการ, ศุภาลัย เซนส์ ศรีนครินทร์ และโครงการแนวราบที่ศุภาลัย เอสเซ้นส์ บางนา-สุวรรณภูมิ พร้อมนำ AI และเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านการตลาด โดยการนำข้อมูลมาวิคราะห์ เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยที่ง่าย สะดวก และตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ขณะที่จะมีการผสานนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด Smart Village เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย รวมทั้งมุ่งสู่ความยั่งยืนในการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้า ด้วยการจัดเก็บข้อมูลการปล่อยคาร์บอนฯ ของวัสดุที่ใช้ในทุกกระบวนการของธุรกิจ 100% ในปี 2568 มุ่งสู่เป้าหมายการจัดซื้อวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Procurement)
“ปี 2567 เราเห็นตลาดอสังหาฯ หดตัวลงไปพอสมควร และในปี 2568 คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยที่สุดในรอบ 15 ปี ซึ่งน่าจะน้อยกว่าในปี 2552 ที่โครงการเปิดใหม่มีมูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดีมานด์ยังไม่ได้หายไปไหน และตลาดอสังหาฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้นในปี 2568 ที่มีซัพพลายออกมาไม่มาก ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เชื่อว่าเป็นปีของผู้ที่มีความพร้อม” นายไตรเตชะ กล่าว