ศุภาลัยโชว์ผลงานปี 65 ยอดขายพุ่ง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ประกาศแผนปี 66 เดินหน้าลุยเปิด 37 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 41,000 ล้าน ขยายเพิ่มกลุ่มสินค้าบ้านหรู 10 – 30 ล้านบาท พร้อมลุยเปิดเพิ่มใน 5 จังหวัดใหม่ รักษาความเป็นเจ้าตลาดภูมิภาค ตั้งเป้าพิชิตยอดขาย New High 36,000 ล้านบาท
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวมากขึ้นจากปี 2564 เนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ขณะเดียวกันภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 เริ่มฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นธุรกิจ วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และมาตรการผ่อนคลาย LTV (อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน) ทำให้เกิดการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค
สำหรับปี 2566 คาดว่าสภาพเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง โดย GDP น่าจะโตถึง 3-4% ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศดีขึ้น ขณะที่กำลังซื้อจากต่างชาติจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกทั้งมีการต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (มาตรการก่อนหน้าลดเหลือเพียง 0.01%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เป็นปีที่ดีแม้จะมีเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ดร.ประทีป กล่าวอีกว่า ด้านการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้มีการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีการลงทุนไปแล้ว 12 โครงการ มูลค่าโครงการ 52,600 ล้านบาท ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมของศุภาลัย 9,748 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตเป็นที่น่าพึงพอใจ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนธุรกิจอื่นๆ อาทิ Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่า ภูเก็ต, Rental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ, Home Office ที่โครงการศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์, Community Mall / Market ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ และ Co-Working ชื่อว่า MEET & CO ตั้งอยู่ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์
ทั้งนี้ ดร.ประทีป เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเปิดตัวแบรนด์ “เอเลแกนซ์” ได้แก่ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชูรี่ ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี และศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 17.99 ล้านบาท บนทำเลใจกลางเมืองถนนเทพรักษ์ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยในปี 2565 กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวระดับราคา 10-20 ล้านบาทของบริษัท มียอดขายเติบโตจากปี 2564 ถึง 155% ขณะที่บ้านเดี่ยวราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขายเติบโตจากปี 2564 ถึง 157% ทำให้บริษัทมีแผนที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 10 – 30 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นในปี 2566 พร้อมลุยเปิดขายทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 ว่าบริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ และทำยอดขายทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท โดยมียอดขายรวมพุ่งสูงถึง 32,433 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จด้านยอดขายมาจากการที่บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัด มีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในส่วนของสินค้าแนวราบเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับที่ดี โดยมียอดขาย 21,938 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% จากปี 2564 และในส่วนของคอนโดมิเนียมมียอดขาย 10,495 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 82% จากปี 2564 เนื่องจากบริษัทก็มีสินค้าคอนโดฯ พร้อมอยู่ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า นอกจากนั้น บริษัทยังมีนโยบายการคัดกรองลูกค้าในเบื้องต้น ซึ่งมีผลทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าของบริษัทลดลงจาก 22% ในช่วงปี 2563-2564 เหลือเพียง 11% ในปี 2565
สำหรับในปี 2566 นายไตรเตชะ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท โดยเตรียมบุกหนักในโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆ ที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยนับเป็นเจ้าตลาดที่มีการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากที่สุด ครอบคลุม 28 จังหวัด และในปี 2566 จะพัฒนาโครงการใหม่ในอีก 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีการตั้งเป้าหมายอดขายเอาไว้ 36,000 ล้านบาท เป้าหมายรายได้ 36,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท