“สวอน เอสเตท” ชี้เทรนด์ผู้บริโภครุ่นใหม่ซื้อบ้านเพื่อการออมเงินและการลงทุน ผุดโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ 3.5 ชั้น “ชญาดา บิซ เพลส” ย่านศรีนครินทร์-อ่อนนุช รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท มั่นใจสร้าง Yield 5% และ Capital Gain 6% คาดสามารถปิดโครงการได้ในเวลาไม่เกิน 2 ปี
นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวว่าบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นระยะเวลานาน โดยได้เริ่มการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายตั้งแต่ปี 2546 ในย่านสมุทรปราการและกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จำนวนมากว่า 200 ยูนิต ก่อนตัดสินบริษัทก่อตั้งบริษัท สวอน เอสเตท จำกัด ในปี 2554 และได้เริ่มพัฒนาโครงการบ้านชญาดา@เวิร์ค โฮมออฟฟิศ 3.5 ชั้น จำนวน 99 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาทย่านบางนา ซึ่งได้ปิดการขายไปเป็นที่เรียบร้อย และล่าสุดได้พัฒนาโครงการ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ย่านศรีนครินทร์-อ่อนนุช ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการซื้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการออมเงินและการลงทุน ในราคา 14-17 ล้านบาท
“ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวมคือการซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที” นายเทธดา กล่าว
ทั้งนี้ โครงการ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ มุ่งเน้นลูกค้าหลักที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี ที่มีการศึกษาดี ความรู้ความชำนาญ สามารถทำงานหรือบริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ
“แนวคิดหลักของ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ คือทำบ้านให้ลูกค้า ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ‘ชญาดา บิซ เพลส’ มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว
สำหรับ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ตัวบ้านใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว ผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxury โดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูทางเข้า จะเห็นตัวอาคารล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน โดยเป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน
ตัวโครงการ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ อยู่ในโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นที่สมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง โดยโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ
“ความสำเร็จในบริบทของ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ เรายังมองรวมไปถึงการต่อยอดการสร้าง Passive Income ที่เหมาะสมกับด้านการลงทุน ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้าโครงการจะสร้าง Yield 5% และ Capital Gain 6% ได้อย่างแน่นอน และด้วยความพิถีพิถันที่บริษัทฯ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาโครงการฯ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถปิดโครงการได้ในเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งเมื่อหลังจากขายบ้านได้เกินกว่า 50% แล้ว เราจะเริ่มดำเนินการตามเป้าหมายในอีก 3-5 ปีของบริษัทฯ ด้วยการสำรวจตลาดและศึกษาความเป็นไปได้เตรียมพร้อมสำหรับโครงการต่อไป โดยคงกลยุทธ์การพัฒนาให้ความสำคัญกับทำเลเป็นด่านแรก และเรายังมองถึงการซื้อที่ดินแปลงใหม่ เพื่อให้มีความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในขณะนั้นได้ในทุกมิติ” นายเทธดา กล่าวเสริม
ทั้งนี้ ในปี 2565-2566 นายเทธดา ให้ข้อมูลว่า บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ จากการเลือกพัฒนาโครงการโดยเน้นทำเลและคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและยึดมั่นในกลยุทธ์การพัฒนาที่สัมฤทธิ์ผล ส่วนในปี 2567 ด้วยสภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้องดำเนินนโยบายแบบประคองตัวไม่เน้นที่การเติบโต และต้องแข่งขันเพื่อแย่งลูกค้าที่มีอยู่จำกัด แต่อย่างไรก็ตาม นับเป็นผลประโยชน์ที่ตกไปยังผู้บริโภค ที่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้ซื้ออสังหาฯ ในราคาที่เพิ่มในอัตราที่ช้าลงอย่างมาก