“บมจ.เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้” ตอกย้ำความเป็นบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่เน้นคุณภาพ ชู 5 กลยุทธ์พลิกฟื้นบริษัทแบบยั่งยืน ทั้งด้าน Product, ด้าน Process, ด้านต้นทุน, ด้านการตลาด และกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ ประกาศก้าวข้ามปัญหา สู่บริษัทอสังหาฯ ที่มีความโปร่งใส หลังล้างขาดทุนหมด พร้อมเติบโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าปี 65 โตกว่า 100% หรือประมาณ 300 ล้านบาท พร้อมเตรียมที่ดินมาพัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ ๆ เตรียมเจรจา “แลนด์ลอร์ด” ร่วมทุนผุดโครงการบ้านพรีเมียม ลั่นฐานะการเงินแกร่ง เป้า 3 ปียอดขาย 2 พันล้านบาท

นายสันติ  ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ตั้งแต่ 19 พฤษภาคม นี้ ในหมวดกลุ่มอสังหาฯและก่อสร้าง และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี จากนี้ไป บริษัทได้วางกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขและปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่

กลยุทธ์ด้าน Product ในปีนี้เรามีการเพิ่ม Product line ใหม่ ในส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ ได้แก่ อาคารพาณิชย์ โครงการ เค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 เพื่อเติมเต็มหมวดหมู่ของสินค้าเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และกลยุทธ์ด้าน Process จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ใน 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงปัญหาของความล่าช้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานจากผลกระทบดังกล่าว และได้นำมาปรับปรุงเป็นกระบวนการ FAST process เพื่อทำให้การทำงานของเรารวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น

พร้อมทั้ง กลยุทธ์ด้านต้นทุน เราเล็งเห็นถึงปัญหาต้นทุนที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้รวมถึงในอนาคต โดยเฉพาะต้นทุนค่าก่อสร้างที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ เราจึงเน้นในเรื่องของการควบคุมต้นทุนเชิงรุก ได้แก่การทำ VAVE การปรับปรุง Design เพื่อให้งานก่อสร้างรวดเร็วขึ้น และต้นทุนลดลง รวมถึงการพยายามใช้วัสดุร่วมกัน เพื่อให้เกิด Economy of scale ให้ได้มากที่สุด โดยยังรักษาคุณภาพของงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ เรายังมี กลยุทธ์ด้านการตลาด ซึ่งในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือในการค้นหาข้อมูลเป็นหลัก ดังนั้นในปีนี้ และในอนาคต เรามีการเพิ่มสัดส่วนการทำการตลาด Online มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และตรงกลุ่มมากขึ้น และสุดท้ายกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ จากการที่เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่อยู่ในวงการมากกว่า 40 ปี จึงทำให้เห็นถึงปัญหาของลูกค้าในมุมของความต้องการด้านงานบริการ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาธุรกิจที่จะให้บริการด้านงานซ่อมแซม ตกแต่ง ต่อเติม ฯลฯ

นายสันติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2-3 เท่า โดยขณะนี้ เค.ซี. มียอดขายรอรับรู้รายได้ใน 5 โครงการเดิม มูลค่า 106 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเติบโตขึ้น 2-3 เท่า แต่เราจำเป็นต้องบริหารความสามารถในการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อโครงการของ เค.ซี. เป็นอาชีพอิสระ ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เราหาเครื่องมือทางการเงิน เริ่มจากให้ฝ่ายขายไปคุยกับลูกค้าก่อนล่วงหน้า 6 เดือน และตรวจประวัติลูกค้าอีก เพื่อป้องกันในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น เป็นต้น

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เค.ซี. จากนี้ได้วางเป้าออกเป็นแนวทางแรก การบริหารที่ดินสะสม (แลนด์แบงก์) ที่มีอยู่ในโครงการเดิมประมาณ 4-5 โครงการ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีจนปิดโครงการได้ ซึ่งที่ดินแต่ละแปลงในแต่ละโครงการเป็นที่ดินต้นทุนเดิมที่สามารถสร้างโครงการในราคาที่ไม่สูง สามารถตอบสนองต่อความต้องการซื้อของลูกค้าได้ในราคาที่เข้าถึงได้

แนวทางที่สอง เป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้ เค.ซี. กับการศึกษาโมเดลที่จะร่วมกับเจ้าของที่ดินในการร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับพรีเมียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่ 3-4 แปลงในการทำโครงการบ้านพรีเมียมในเมือง ราคาขายมีตั้งแต่ 20-50 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท คาดว่าปลายปี 65 จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน 1 โครงการ มูลค่าในการพัฒนาโครงการไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท หรืออีกรูปแบบอาจจะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุน แปลงที่ดินมาเป็นค่าหุ้น โดยเจ้าของที่ดินเข้ามาถือหุ้น ซึ่งส่วนนี้ผู้ถือหุ้นเดิมยังคงสัดส่วนเท่าเดิม เป็นต้น