เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) มองภาพอสังหาฯ ปี 66 ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าลุยเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 17,500 ล้านบาท เพิ่มพอร์ตพัฒนาโครงการแนวราบทุกเซกเมนต์ทั่วทุกมุมเมืองรับดีมานด์ตลาดบ้านเดี่ยวโต หวังเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน เสริมทัพด้วยแผนพัฒนาโครงการคอนโดโลว์ไรส์ฟรีโฮลด์ครั้งแรก ปักธงทำเลกลางเมือง ตั้งเป้าปี 66 มียอดรับรู้รายได้ 13,000 ลบ. เติบโต 14% จากปี 65
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา แม้อยู่ในช่วงภาวะวิฤตแต่บริษัทมีผลการดำเนินงานด้านรายได้แลกำไรสุทธิที่เติบโต โดยสามารถทำรายได้ 11,392 ล้านบาท เติบโต 2% และกำไรสุทธิ 1,470 ล้านบาท เติบโต 63% จากการฝ่าวิกฤตด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง โดยการเปิดตัวโครงใหม่การบนที่ดินที่บริษัทมีอยู่เดิม ทำให้มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า และสามารถทำกำไรได้มากกว่า ขณะที่มีการขยายตลาดบ้านเดี่ยว ซึ่งกลุ่มลูกค้าได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่า โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว 4,519 ล้านบาท เติบโต 66% เมื่อเทียบกับปี 2564 นอกจากนั้นยังใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด เป็นผลให้กำไรเพิ่ม รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดลง 10% และประหยัดค่าดำเนินการโครงการลงถึง 30%
สำหรับในปี 2566 นายแสนผิน ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น นโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาและคาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3.0 – 3.5% ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 ก็ยังปัจจัยเสี่ยงจากภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยลดลงถึง 4.4% ซึ่งเป็นการหดตัวในรอบ 20 เดือน นอกจากนั้นหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่ 90% ก็ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ และการที่ดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.75% จาก 1.25% ในปัจจุบัน ก็จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ส่วนแนวราบการแข่งขันจะสูงขึ้น โดยฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวราคาแพง ขณะที่ราคาที่ดินก็มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 75% โดยจากปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานที่มีการเชื่อมต่อสู่จังหวัดฝั่งตะวันตก ทำให้ราคาที่ดินในย่านรัตนาธิเบศร์-ชัยพฤกษ์ สูงขึ้น 64.4% ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์ สูงขึ้น 65.5% จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าซึ่งทำเมืองมีการขยายตัว ส่งผลให้ราคาที่ดินในย่านวัชรพล-สายไหม สูงขึ้น44.2% เกษตร-รามอินทรา สูงขึ้น 60.4% ขณะที่การเกิดใหม่ของทางด่วน ทำให้ที่ดินในย่านสุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ สูงขึ้น63.2% พระราม 2-บางบอน สูงขึ้น 97.9% และในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดใหม่เยอะ อย่างรามคำแหง-อ่อนนุช ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 138.3% เทพารักษ์-บางพลี ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 38.8% และ บางนา-วงแหวน ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 98.4%
เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์
นายแสนผิน ยังกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับในปี 2566 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) มีแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจด้วยการเสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ โดยมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการประเภทบ้านเดี่ยวในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ซึ่งจะมีการการพัฒนาโครงการในระดับราคา 60-120 ล้านบาทใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ รวมถึง อัลพีน่าและ เดอะ แกรนด์ ซึ่งหวังเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูง รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชันที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวกในราคาที่จับต้องได้ พร้อมวางแผนจัดแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชันพิเศษตลอดทั้งปีเพื่อกระตุ้นยอดขาย และยังเป็นการสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัทอีกด้วย นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนบุกตลาดคอนโดโลว์ไรส์ฟรีโฮลด์เป็นครั้งแรก หลังเคยนำร่องพัฒนาโครงการ ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ ซึ่งเป็นโครงการลีสต์โฮลด์ เนื่องจากเห็นโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่มีสัดส่วนดีมานด์เพิ่มมากที่สุดในปี 2565 ในขณะที่สินค้าคงเหลือในตลาดกลับมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดโลว์ไรส์ด้วยโลเคชันตั้งอยู่ในเมืองและใกล้รถไฟฟ้าภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ ซึ่งโครงการแรกที่จะมีการเปิดขายในช่วงกลางปี ได้แก่ “KLOS รัชดา” มูลค่าโครงการเกือบ 1,000 ล้านบาท ในทำเลรัชดา ซึ่งปัจจุบันมีซัพพลายคอนโดฯ เหลือขายไม่มากนัก
KLOS รัชดา
“สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ โดยบริษัทได้เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ ผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และเติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการ และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคย” นายแสนผิน กล่าว