เอพี ไทยแลนด์ ปิดปี 66 ยิ้มรับความสำเร็จในทุกมิติ ทำยอดขาย 51,390 ล้านบาท รายได้รวมกว่า 48,757 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,054 ล้านบาท ชี้ปี 67 เป็นปีของตัวจริงที่มีความพร้อมครบ พร้อมมุ่งสานต่อความสำเร็จกับแผนขยายพอร์ตสินค้าทั่วไทย 212 โครงการ โชว์เสถียรภาพทางการเงินแข็งแกร่ง ด้วยความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน รักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไม่เกิน 0.79 เท่า มั่นใจมีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ปี 67 เตรียมผุด 48 โครงการใหม่ มูลค่า 58,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 57,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 53,700 ล้านบาท

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 ด้วยสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆ ทำให้การดำเนินธุรกิจค่อนข้างท้าทาย บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี โดยได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปจำนวน 56 โครงการ มูลค่ารวม 76,000 ล้านบาท มียอดขาย 51,390 ล้านบาท รายได้ 48,757 ล้านบาท และกำไร 6,054 ล้านบาท  

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 67 ถือว่ายังมีความท้าทาย และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ ยังมีสัญญาณที่ดีจากการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมที่เริ่มกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้น ตลอดจนความเสี่ยงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลง  

ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ นายวิทการ แสดงความคิดเห็นว่ายังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือการรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่งผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ สามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.79 เท่า

“ปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทฯ ที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ 1.การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งมีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ 2.การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด 3.People – Structure – Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง 4.การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และ5.ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ” นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ ทั้งนี้ เป้าหมายการกระจายพอร์ตสินค้าทั่วประเทศไทย 212 โครงการนั้น ประกอบด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวน 48 โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย จำนวน 164 โครงการ ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 57,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 53,700 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว ไฮไลต์ของปีนี้คือแผนเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด Super Luxury ระดับราคา 100 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาสินค้าแบรนด์ THE PALAZZO ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเล อย่างกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และแบรนด์ บ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวในเมือง ในทำเลสาธุประดิษฐ์ ซึ่งทั้งหมดพร้อมจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยมองว่าตลาดบ้านหรูเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เป็นตลาดที่มีศักยภาพ และกลุ่มผู้ซื้อก็มีศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน

สำหรับกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด ในส่วนตลาดทาวน์โฮมยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าสินค้าในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท กลุ่มลูกค้ามีปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่าน และต้องนำมาขายหลายรอบ ซึ่งต้องแก้ปัญหาให้การขายมีการหมุนเวียนได้เร็วขึ้น ส่วนบ้านแฝด ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเป็นผู้นำตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นในเมือง โดยในแผนการเปิดตัวทาวน์โฮมและบ้านแฝด 23 โครงการใหม่ จะเป็นบ้านแฝดจำนวน 7 โครงการ ซึ่งแม้ว่าตลาดบ้านแฝดจะเป็นตลาดที่มีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นตลาดที่ยังมีโอกาสและมีศักยภาพ เนื่องจากบ้านแฝดเป็นตัวเลือกที่ได้พื้นที่ใช้สอยมากกว่าทาวน์โฮม ในขณะที่ราคาไม่สูงเท่าบ้านเดี่ยว โดยบริษัทฯ จะเลือกเข้าไปพัฒนาโครงการบ้านแฝดในทำเล Blue Ocean ที่การแข่งขันไม่สูงมาก

ด้านกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ภาพรวมตลาดในวันนี้ถือว่าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าอีกไม่นานภาพตลาดคอนโดมิเนียมไทยจะกลับคืนสู่จุดเดิมก่อนเผชิญสภาวะวิกฤตโรคระบาด ซึ่งในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในด้านยอดขายและการรับรู้รายได้ โดยสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 17,908 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 57% หากเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ด้านรายได้รวมเฉพาะจากสินค้าคอนโดมิเนียม (100% JV) เองก็มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 13,184 ล้านบาท สะท้อนได้ถึงการฟื้นตัวของดีมานด์ ตลอดจนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อคอนโดเอพี โดยในปี 2567 นี้ บริษัทเตรียมเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการร่วมทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,200 ล้านบาท และโครงการที่เอพี ไทยแลนด์พัฒนาอีก 4 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดจะชูแบรนด์ LIFE และ ASPIRE เป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาโครงการ

นอกจากในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2567 บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มอีก ใน 4 จังหวัด โดยการเลือกทำเลในการพัฒนาที่มีการแข่งขันไม่สูงมากนัก แต่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ สุพรรณบุรี ระยอง สงขลา และอีกหนึ่งจังหวัดที่จะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้

“สำหรับเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ณ ปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ด้วยการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้วันนี้บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเยี่ยม และเพียงพอต่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ตลอดจนศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงินที่พร้อมเปิดกว้างต้อนรับบริษัทฯ ซึ่งเมื่อต้นปีบริษัทฯ ได้ชำระหุ้นกู้มูลค่า 2,500 ล้านบาท เสร็จสิ้นตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และในเวลาเดียวกันหุ้นกู้ออกใหม่มูลค่า 3,500 ล้านบาท ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และยังมีวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้จากสถาบันทางเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทฯ มากถึง 12,700 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีเม็ดเงินการลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่างมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมไปกับเอพี รวมทั้งรายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า 200 โครงการ ตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 53,700 ล้านบาท ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเต็มศักยภาพ” นายวิทการ กล่าวทิ้งท้าย  

#APBusinessDirection2024 #APTHAI #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #APTHAIUpdate2024