เอพี ไทยแลนด์ โชว์ยอดขายแนวราบครึ่งปีแรก 20,572 ล้านบาท โตกว่า 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เผยกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวครองแชมป์มาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ด้วยจำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุด ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 17 บ้านโมเดลใหม่ กับบ้านเดี่ยว 18 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 24,030 ล้านบาท พร้อมพร้อมส่งบรนด์น้องใหม่ ‘MODEN’ เจาะกลุ่ม Gen M และ Gen Z บุกตลาดบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้าน เน้นรุกโซนปริมณฑล

นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม แต่สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบของเอพี ไทยแลนด์ ยอดขายกลับโตสวนกระแส โดยในปี 2564 บริษัทมียอดขายโครงการแนวราบ 32,841 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมียอดขาย 27,831 ล้านบาท 18% ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 บริษัททำยอดขายแนวราบได้ 20,572 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มียอดขาย 16,430 ล้านบาท 25.2% ซึ่งจากยอดขายที่ทำได้ ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถทำยอดขายโครงการแนวราบได้ 38,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อย่างแน่นอน

นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยวของเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยบ้านเดี่ยวเอพีครองส่วนแบ่งตลาด (Market Share) มากสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุดในตลาดบ้านเดี่ยวในเมืองและปริมณฑล (รอบปี พ.ศ. 2558 – 2564) และสำหรับในปี 2565 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวมากสุดถึง 23 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 32,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเปิดตัวในครึ่งปีแรก 5 โครงการ มูลค่า 8,620 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัว 17 แบบบ้านใหม่ กับ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,030 ล้านบาท ประกอบด้วย แบรนด์ THE CITY บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ไฮเอนด์ ขนาดที่ดิน 100-127 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 386-560 ตารางเมตร ราคา 12-20 ล้านบาท แบรนด์ CENTRO บ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวเซกเมนต์กลางบน ขนาดที่ดิน 50-62 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 203-305 ตารางเมตร ราคา 5-12 ล้านบาท และแบรนด์น้องใหม่ “MODEN” บ้านเดี่ยวสำหรับคน Gen Z ที่มาพร้อมกับ 5 แบบบ้านที่ให้ความรู้สึกใหม่ ขนาดที่ดิน 50-54 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 163-227 ตารางเมตร ราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้บ้านเดี่ยวเอพีจะมีโครงการปูพรมในทุกพื้นที่มากกว่า 50 โครงการ

“คีย์ไดรฟ์ที่ผลักดันให้บ้านเดี่ยวเอพีเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง มาจากทิศทางการพัฒนาสินค้าที่ชัดเจนในการสร้างความต่างในเรื่องของ Product Offering และ Price Package เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาตัวบ้าน จะต้องตอบได้ในเรื่องความคุ้มค่าทั้งในมิติด้านพื้นที่ใช้สอยไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรมภายนอกที่ต้องส่งผลต่อพื้นที่ภายใน ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บ้านเดี่ยวเอพีจะต้องส่งมอบความรู้สึกที่มากกว่า ควบคู่ไปกับแพ็กเกจราคาขายที่ลูกค้ารับได้ เมื่อเทียบกับซัพพลายที่เสนอขายอยู่ในทำเลเดียวกัน” นายรัชต์ชยุตม์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่ชำนาญ ทั้งทดแทนโครงการเก่าที่ปิดการขายลง หรือการขยายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่ความท้าทายใหม่ของปีนี้คือการนำบ้านเดี่ยวเอพีบุกเข้าไปยังตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ Market Penetration เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้ง โดยการบุกตลาดใหม่ครั้งนี้จะเป็นการเข้าไปในทำเลใหม่ๆ ที่ยังไม่มีสินค้าในพอร์ตเอพี ด้วยแบรนด์สินค้าที่พัฒนาขึ้นใหม่ที่ชื่อว่า MODEN (โมเดน) ภายใต้มาตรฐานที่ไม่ต่างจากบ้านเดี่ยวเอพีในแบรนด์อื่นๆ  

“ตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ ด้วยจำนวนซัพพลายที่เกิดขึ้นจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ยังมีไม่มาก เราจึงอยากใช้ความชำนาญและความเชี่ยวชาญที่เรามีสร้างโอกาสในการเติบโต และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับพอร์ตสินค้าบ้านเดี่ยวเอพี ควบคู่ไปกับการส่งมอบตัวเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกชีวีตดีๆ ที่ต้องการ ซึ่งเราเชื่อว่าการเปิดตัวแบรนด์ MODEN ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ต่างจากแบรนด์บ้านเดี่ยวอื่นๆ ของเราที่ประสบความสำเร็จ” นายรัชต์ชยุตม์ กล่าว

ทั้งนี้โครงการภายใต้แบรนด์ MODEN บริษัทเตรียมจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 3,550 ล้านบาท ได้แก่ MODEN บางนา-ศรีนครินทร์, MODEN พระราม 2 และ MODEN บางนา-เทพารักษ์

ด้านนางพิมพรรณ ปรีชานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปัจจุบันความท้าทายของการพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยวมาถึงจุดที่ยกระดับไปมากกว่าเรื่องของทำเลที่ตั้ง และเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน โดยรูปแบบการใช้พื้นที่ของคนกับฟังก์ชันการใช้งานได้เปลี่ยนแปลงไป COVID-19 กระตุ้นให้เกิดเทรนด์ Home Nesting ขึ้น คือการเนรมิตให้บ้านต้องเป็นทุกอย่างได้ คำว่าที่ทำงานก็ลงดีเทลไปได้อีก ที่อาจจะไม่ไช่แค่โต๊ะนั่งประชุมทำงานอย่างเดียว สามารถปรับเป็นสตูดิโอ มุมพักผ่อนในบ้าน ตลอดจนเป็นคาเฟ่เล็กๆ ส่งผลให้การออกแบบบ้านต้องให้ความสำคัญในเรื่อง Flexible Space มากขึ้น ปรับเปลี่ยนได้ ใช้งานได้จริง ไม่อึดอัด

“หัวใจของการออกแบบพัฒนาโครงการในวันนี้และในอนาคตจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ต้องกลับมาทำการบ้านในการออกแบบพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าใจอินไซต์ของการใช้พื้นที่ที่แตกต่างกันของทุกสมาชิกในครอบครัว เพราะถ้าเราถอดรหัสความต้องการในการใช้พื้นที่จริงๆ ของบ้านหลังหนึ่งแล้วนั้น เราจะพบว่าทั้งเพศ วัย ไลฟ์สไตล์ ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านหนึ่งหลัง มีรายละเอียดที่การออกแบบจะต้องเข้าไปตอบโจทย์ ที่สำคัญวันนี้ลูกค้ากำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ใหม่ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่น่าเบื่อ พื้นที่ที่สร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยในมุมมองใหม่ที่ต่างไปจากเดิม” นางพิมพรรณ กล่าวเน้นย้ำ

ทั้งนี้ ในส่วนของภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่ดีเวลล็อปเปอร์หันมาพัฒนาโครงการแนวราบกันมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน นอกจากนั้นจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นรวมถึงการเกิดสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้วัสดุก่อสร้างมีราคาสูงขึ้น ปัจัยเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565  ซึ่งในส่วนของ เอพี ไทยแลนด์ ได้ติดตามสถานการณ์และพยายามปรับตัวเพื่อให้เกิดผลกระทบกับลูกค้าน้อยที่สุด อาทิ การเตรียมตัวหาผู้รับเหมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ในปีที่ผ่านมา การสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้การผันผวนของราคาเกิดขึ้นน้อยลง ตลอดจนการซื้อของจำนวนมากต่อครั้ง ซึ่งจะทำให้ได้สินค้าในราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าก็ยังคงมีอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งดีเวลล็อปเปอร์ก็ต้องพยายามพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้ได้