เอเปิ้ล แอสเสทเผยแผนกลยุทธ์บริษัท ลุยพัฒนาโครงการแนวราบ เน้นกระจายโครงการตามทำเลศักยภาพเร่งสร้างการรับรู้ในแบรนด์ ตั้งเป้าสร้างยอดขายทะลุ 1,200 ล้านในปี 68 พร้อมจ่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ (MAI) ในปีเดียวกัน

นายกษิดิศ มโนภินิเวศ กรรมการจัดการ บริษัท เอเปิ้ล แอสเสทกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัท เอเบิ้ล แอสเสท กรุ๊ป จัดตั้งขึ้นในปี 2554 โดยการรวมตัวกันของกลุ่มวิศกรที่มีประสบการณ์ในด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาโครงการไปแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการเซนทริโอ้ ภูเก็ต, โครงการมาร์คเอเบิ้ล ศูนย์วิจัย 2, โครงการลิสส์ รัชโยธิน มูลค่ารวมกว่า 2,311 ล้านบาท และในปี พศ.2564- 2565 บริษัทยังได้เริ่มพัฒนาโครงการแนวราบ โดยเปิดตัวไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,321 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แอสโทเรีย รังสิต- คลองสาม โครงการแอสโทเรีย ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และโครงการอาร์ทีค รามคำแหง ซึ่งทั้ง 3 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 340 ล้านบาท

แอสโทเรีย ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์

นายกษิดิศ กล่าวต่อไปถึงแผนงานของบริษัทอีกว่า บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ปีละ 2 -3 โครงการ ในระยะ 3 ปีข้างหน้านี้ โดยจะเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รองรับการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับการขยายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและการขยายตัวของเมือง โซนหลักได้แก่ลำลูกกาและนนทบุรี มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ โดยจะเลือกพัฒนาโครงการขนาดกลาง บนพื้นที่โครงการประมาณ 20 ไร่ มูลค่าไม่เกิน 500 บาท เพื่อกระจายโครงการไปในพื้นที่หลากหลายและสร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าปิดการขายในแต่ละโครงการภายใน 3 ปีหลังเปิดขาย ด้านจุดเด่นของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทพัฒนาคือความคุ้มค่าและการออกแบบทุกฟังก็ชั่นให้อยู่อาศัยได้จริงผ่านแนวคิด ‘REAL LIVABLE’

อาร์ทีค รามคำแหง

“ในช่วงปลายปี 2565 หรือไตรมาสแรกของปี 2566 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ในทำเลลำลูกกา ปทุมธานี รูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวน 63 ยูนิต  ราคา 5-8 ล้านบาท  และในทำเลชัยพฤกษ์ นนทบุรี จำนวน 72 ยูนิต  ราคา 6-8 ล้านบาท” นายกษิดิศ กล่าว

 นายกษิดิศ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในด้านโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ปัจจุบันบริษัทยังมีสต็อคเหลือขายอยู่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดในปี 2566 ส่วนการพัฒนาโครงการใหม่ ขณะนี้บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาอยู่ 2 แปลง ในทำเลใจกลางเมือง แต่อาจยังไม่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมทีจะทำการพัฒนา เนื่องจากกำลังซื้อทั้งจากชาวต่างชาติและชาวไทยที่หายไปจากภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หากถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม บริษัทก็พร้อมพัฒนาโครงการใหม่ โดยจะพัฒนาในรูปแบบคอนโดฯ Low Rise ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญ และเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ B+ -A ระดับราคา 180,000-190,000 บาท/ตร.ม.

ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัท เอเบิ้ล แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายเอาไว้ที่ 350 ล้านบาท และตั้งเป้าสร้างยอดขายทะลุ 1,200 ล้านบาท ในปี 2568 ส่วนรายได้ของบริษัท ปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ และมีรายได้จากการปล่อยเช่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทมีแผนเพิ่มรายได้จากการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน ขนาด 10,000  ตร.ม. โดยจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้ที่ต้องการเช่าอาคารสำนักงานระดับ A ราคาค่าเช่าประมาณ 500 บาท/ตร.ม. ขณะที่ยังคงอยู่ในทำเล CBD ย่านพหลโยธิน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มปีละ 22 ล้านบาท  นอกจากนี้ ยังมีแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ (MAI) ในปี 2568 อีกด้วย

“แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย ได้รับปัจจัยบวกจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในทิศทางพื้นตัว และคาดว่าจะกลับไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในปี 2566 จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มจะพื้นตัว หลังจากที่โควิดกำลังจะผ่านพันไป รวมถึงมาตรการของรัฐที่ยังคงผ่อนปรน และความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเผชิญปัจจัยลบด้านดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นความท้าทาย แต่เราเชื่อว่าการที่เรามีความพร้อม และมีพันธมิตรที่เข้มแข็ง เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้” นายกษิดิศ กล่าว