‘FPIT’ เผยกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ (Purple Ocean Strategy) พร้อมเผชิญการแข่งขันสูงในน่านน้ำสีแดง และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่กำลังเกิดขึ้นในน่านน้ำสีน้ำเงิน หรือเผชิญกับทั้งสองน่านน้ำในคราวเดียวกันใน ภายใน 5 ปี ตั้งเป้าการเติบโตทางด้านรายได้ 10-15% ต่อปี พร้อมขยายพอร์ตฯ บริหารรวม 4 ล้าน ตร.ม.

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า FPIT มีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมมากว่า 30 ปี โดยได้เริ่มดำเนินธุรกิจกิจมาตั้งแต่ปี 2533 จากธุรกิจก่อสร้างอาคารโรงงานสำเร็จรูปเพื่อเช่าในนิคมอุตสาหกรรม สำหรับผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย รวมทั้งนักลงทุนชาวต่างชาติ และต่อมาได้ขยายไปสู่ธุรกิจอาคารคลังสินค้าให้เช่า ก่อนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในปี 2563 โดยปัจจุบัน FPIT มีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้านตร.ม. หรือ 900 กว่ายูนิต กระจายตัวอยู่ใน 15 จังหวัดหลักซึ่งเป็นหัวใจในการพัฒนาอุตหสาหกรรมและโลจิสติกส์ของประเทศ ประกอบด้วยโรงงานพร้อมใช้ 1.2 ล้านตร.ม. และอาคารคลังสินค้าสมัยใหม่สำหรับธุรกิจและโลจิสติกส์ อีก 1.8 ล้านตร.ม. โดยรายได้หลักของบริษัทคือรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ ซึ่งในปี 2564 มีอัตราการเช่าที่สูงถึงกว่า 82% และยังมีการเติบโตของพื้นที่สร้างใหม่ในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 1 แสนตร.ม. ในรูปแบบการพัฒนาตามความต้องการของผู้ใช้

นายโสภณ ให้ข้อมูลถึงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอีกว่า อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมถือเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนน้องใหม่ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในรูปแบบการปล่อยเช่า ซึ่งมีจุดแข็งอยู่ที่การให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำ สำหรับในภาพรวมทั่วโลก มูลค่ารวมของธุรกิจนี้มีการขยายตัวสูงมาก โดยเฉพาะอาคารคลังสินค้าสมัยใหม่ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจากสถิติของ JLL บริษัทตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ในปี 2563 ภูมิภาคเอเชียมีการปล่อยเช่าอาคารคลังสินค้าเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2562 ส่วนยุโรปและอเมริกา  มีการปล่อยเช่าอาคารคลังสินค้าเพิ่มขึ้น 16% และ 21% จากปี 2562 ตามลำดับ ส่งผลให้มีอัตราการเช่าที่สูงถึงกว่า 95% ขณะที่การซื้อขายอาคารอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมมีการปรับตัวมากขึ้นกว่า 20% ในปี 2563 แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต้องการเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น สำหรับประเทศไทย ขนาดตลาดรวมของคลังสินค้าสมัยใหม่ อยู่ที่ 4.5 ล้านตร.ม. มีการเติบโต 4-5% ต่อปี หรือ 200,000-300,000 ตร.ม./ปี ส่วนอาคารโรงงานสำเร็จรูป ยังมีมีซัพพลายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดมากนัก ตัวเลขยังคงที่อยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านตร.ม. ทั้งนี้ ปัจจุบัน FPIT มีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดคลังสินค้ามาตรฐานอยู่ที่ 40% และตลาดโรงงานสำเร็จรูปเพื่อปล่อยเช่า 60%

นายโสภณ กล่าวอีกว่า FPIT เริ่มต้นธุรกิจจาก Blue Ocean แต่เนื่องจากมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น และมีการแข่งขันเริ่มรุนแรงขึ้น ธุรกิจเริ่มเข้าสู่ Red Ocean ที่เน้นการแข่งขันในด้านของราคา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท FPIT จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ ‘เราพร้อม’ (We are ready) และ ‘เราต่าง’ (We are different) เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ (Purple Ocean Strategy) โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานด้านต่อไปนี้

>>>การสร้างความพร้อม:

  • เพิ่มทำเลศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน  
  • สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน อาทิ การเสริมบริการระบบออโตเมชั่น การบริหารทรัพย์สิน และการพัฒนาธุรกิจใหม่
  • การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัยและพร้อมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน ภายใต้โครงการ Asset Enhancement Initiative (AEI) 
  • ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด โดยปัจจุบันได้ลงทุนแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ใกล้กรุงจาการ์ตา และในประเทศเวียดนาม ที่เมืองบินห์เยือง โดยใช้ประสบการณ์และความสามารถของบริษัทไปสร้างระบบนิเวศของธุรกิจในต่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  • พัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ อาทิ Design Thinking, Customer Centric และ Human Centric เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ Big Data และ เทคนิคการทำ Asset Management
  • สร้าง PropTech Platform โดยนำการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอาคาร เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการด้วยแนวคิดอาคารอัจฉริยะ (Smart Building)

>>>การสร้างความแตกต่าง:

  • เดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย อาทิ โครงการ In-Property Logistics และโครงการ In-City Logistics เพื่อย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองอุตสาหกรรม (Industrial Township) ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน 
  • มุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยได้จัดทำนโยบาย Green Development Policy เพื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ และมีความยั่งยืนในด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการขยายการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
  • พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม อาทิ รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการที่รองรับระบบ Smart Storage ด้วยการใช้ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

สำหรับเป้าหมายของกลยุทธ์ดังกล่าว ภายในระยะเวลา 5 ปี บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตทางด้านรายได้ 10-15% ต่อปี มีอัตราการเช่า 85-90% ต่อปี การพัฒนาใหม่ 150,000-200,000 ตร.ม.ต่อปี และมีการลงทุน 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี

“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้เราเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ใหม่ของ FPIT นี้ เรามั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) มีรายได้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี และสามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 หรือรวมพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด 4 ล้านตร.ม. โดย FPIT จะยังเดินหน้าพัฒนาโครงการที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิด การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience ในทุกสภาวการณ์นายโสภณ กล่าวเสริม