ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด เผย Elite Flexible One ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศมูลค่าร่วม 100 ล้านบาท ประกาศเดินหน้าขยายระยะเวลาโครงการต่ออีก 2 ปี ถึงธันวาคม 2567 พร้อมต่อยอดสู่ สู่  Elite Flexible Plus Program กระตุ้นการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

นางสาวรัชดาวรรณ เลิศศิลาทอง รักษาการแทนผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด กล่าวว่า โครงการ Elite Flexible One ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการลงทุนด้านสังหาฯ ในประเทศไทย ผ่านกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติที่มีศักยภาพในการลงทุนสูง ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมซึ่งมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทในประเทศไทย เดิมกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี และจะสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 แต่เนื่องจาก โครงการ Elite Flexible One ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติ สามารถดึงเม็ดเงินเข้าประเทศมูลค่าร่วม 100 ล้านบาท และปัจจุบันมีกลุ่มผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์สนใจเข้าร่วมกว่า 22 ราย รวม 78 โครงการ ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนซึ่งเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยได้มีการปิดประเทศเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และไม่สามรถเดินทางเข้ามาดูหรือตรวจรับอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการ Elite Flexible One ต่อไปอีก 2 ปี เป็นให้สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567

“สำหรับการขยายระยะเวลาโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One ครั้งนี้ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และประเทศไทยทำการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการพิเศษนี้จะช่วยกระตุ้นให้มีการเดินทางเข้าประเทศมากขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย” นางสาวรัชดาวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ นางสาวรัชดาวรรณ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากโครงการ Elite Flexible One เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2565 ราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย อนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นสมาชิก Thailand Privilege Card เข้ามาอยู่ในไทยเป็นกรณีพิเศษเพื่อการทำงานภายใต้โครงการ Flexible Plus Program เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติและเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้าร่วมโครงการต้องดำเนินการภายใต้ 3 ประเภทที่กำหนด คือ 1. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ตามสิทธิที่ชาวต่างชาติพึงได้รับ 2. การลงทุนในบริษัทจำกัดและบริษัทจำกัดมหาชน และ 3. การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (หรือหน่วยงานลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) โดยต้องมีมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ขณะนี้มีผู้สอบถามข้อมูลเข้ามากว่า 50 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ส่วนในด้านการประชาสัมพันธ์โครงการอยู่ในช่วงของการทำกิจกรรมทางการตลาด หรือ Roadshow ซึ่งที่ผ่านมาได้ไปทำ Roadshow ในสิงคโปร์แล้ว และในปีนี้ยังวางแผนเข้าไปในเกาหลีใต้ ดูไบ และยังมีความสนใจที่จะเข้าไปทำ Roadshow ในซาอุดิอาระเบียด้วย เนื่องจากเป็นประเทศที่เพิ่งมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทยและเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนจีนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก คาดว่าจะเปิดประเทศและสามารถเข้าไปทำกิจกรรมทางการตลาดได้ในปี 2566 และสำหรับข้อจำกัดเรื่องจำนวนเงินที่ชาวจีนสามารถโอนออกนอกประเทศ ทางบริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  ซึ่งมีสาขาในประทศจีน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวดัวย

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมโครงการ Flexible Plus Program จะได้รับ คือการเปลี่ยนประเภทวีซ่า จากวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราวเป็นพิเศษ (PE Visa) เป็นวีซ่าธุรกิจและการทำงาน (Non-B Visa) และใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) 5 ปี และให้สิทธิสำหรับผู้ติดตามซึ่งเป็นคู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายอายุไม่เกิน 20 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 คน สามารถขอเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Non Immigrant Visa) มีอายุการใช้งานการตรวจลงตราเป็นเวลา 5 ปี อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ร่วมกับบัตรหลักได้ ทั้งนี้ ผู้ร่วมโครงการจะต้องรายงานตัว และแสดงเอกสารหลักฐานการลงทุนให้แก่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เป็นประจำทุกๆ ปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่เริ่มต้นการลงทุน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน สมาชิก Thailand  Privilege Card มีจำนวนกว่า 17,000 ราย และมีเป้าหมายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกเดือนละ 300 ราย