นางสาวพรรณวรา เพ็งเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปี 2565 เฮเฟเล่ได้มีการปรับผังองค์กรครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี เนื่องจากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เล็งเห็น pain point ของบริษัท จึงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสปรับผังองค์กรใหม่ ทำให้องค์กรกระชับและผอมลง ขณะที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยได้รวมหมวดผลิตภัณฑ์มาร่วมอยู่ในหมวดการตลาดทั้งหมด ส่งผลให้ฝ่ายการตลาดเพิ่มบทบาทและความรับผิดชอบกว้างขึ้น ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ การตลาด เทรดมาร์เก็ตติ้ง และการดูแลลูกค้า
“เดิมรับผิดชอบฝ่ายผลิตภัณฑ์ด้านกลุ่มสินค้าห้องน้ำเฮเฟเล่ มา 4 ปี และเข้ามาดูฝ่ายการตลาดในโครงสร้างใหม่ของบริษัทเป็นปีแรก ซึ่งการปรับแผนครั้งนี้ พอเราเห็น pain point จากเดิมที่มาร์เก็ตติ้งจะรับผิดชอบอยู่หลังบ้าน ขณะที่ฝ่ายขายก็จะเดินหน้าเรื่องขายสินค้า ในบางครั้งอาจทำให้การส่งผ่านบริการหรือขายผลิตภัณฑ์ไม่สอดรับและต่อเนื่องกัน ทำให้ลูกค้าหลุดไปได้ เราจึงยุบรวมกัน เพื่อให้มีความชัดเจนและเชื่อมถึงการทำตลาด การออกผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมโปรโมชัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งกลุ่มโครงการภาคเอกชนและโครงการภาครัฐ ตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนาโครงการทั้งหมด และลูกค้ารายย่อย ซึ่งจะส่งผลดีในการสร้างยอดขายที่เติบโตในทุกๆ ปี โดยผลการดำเนินงานจากการปรับเปลี่ยนองค์กรอาจต้องใช้เวลา แต่คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในการรุกตลาดและเชิงผลประกอบการที่สูงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566”
นางสาวพรรณวรา ยังให้ข้อมูลต่อไปถึงผลประกอบการของบริษัทอีกว่า สำหรับในปี 2565 นั้น ยอดขายในรอบ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของบริษัท เติบโตเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากธุรกิจของเฮเฟเล่ฯ มีช่องทางการขายที่หลากหลาย โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยอดขายแบบ Business-to-Business : B2B หรือกลุ่มธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจ (ลูกค้าโครงการ ลูกค้าเชนสโตร์ ลูกค้าหน่วยงานราชการ หมวดโรงงาน) อาจจะชะลอตัวลงไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามช่องการขายแบบ Business-to-Customer : B2C หรือธุรกิจสู่กลุ่มผู้บริโภค (ร้านค้าและค้าปลีก) ในช่วง 9 เดือนแรกกลับมียอดขายเติบโตถึง 15% นอกจากนั้นบริษัทยังมีการขายผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ ขณะที่มีสินค้ากว่าหลายหมื่น SKU ( Stock Keeping Unit) และราคาของผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ส่งผลให้ยอดขายปีนี้น่าจะปิดตัวเลขได้สูงถึง 4,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 450 ล้านบาทจากปี 2564 ซึ่งบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 3,850 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 16%
นางสาวพรรณวรา กล่าวอีกว่าปัจจุบัน ยอดขายของบริษัทมาจากช่องทางการขายแบบ B2C ในสัดส่วน 52% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ช่องทางขายแบบ B2B มีสัดส่วน 41% และยอดขายจากช่องทางอื่นๆ ในสัดส่วน 7% สำหรับสินค้าของบริษัทแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลักๆ ได้แก่ ( 1.) กลุ่ม Hardware (โครงสร้างบ้าน ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1) มีสัดส่วนยอดขาย 37% (2.) กลุ่ม Furniture Fitting (อุปกรณ์ที่นำมาประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์) (มูลค่าตลาด 20,000ล้านบาท) มีสัดส่วนยอดขาย 27% (3.) กลุ่ม Sanitary (ห้องน้ำและสุขภัณฑ์) มีสัดส่วนยอดขาย 18% 4.กลุ่ม Home App (ห้องครัว) มีสัดส่วนยอดขาย 13 % และอื่นๆ ในสัดส่วนประมาณ 5% (เช่น หมวดอี-คอมเมิร์ซ์ และหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะ) ซึ่งสำหรับในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะทำผลงานด้านยอดขายเติบโตขึ้นจากการขยายไลน์สินค้าเป็นตัวเลือกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้นและเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด โดยปัจจัยในด้านเศรษฐกิจเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และกำลังซื้อในภาพรวมของประเทศที่อาจจะลดลง คาดว่าไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเช่นกัน
นอกจากนี้ ในส่วนของกลยุทธ์การเพิ่มยอดขายในช่องทาง B2B เฮเฟเล่ยังได้มีการจัดตั้งทีมพิเศษขึ้นมาดูแลโครงการภาครัฐ เพื่อเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับส่วนภายในของอาคารรัฐสภาใหม่ไปแล้ว ซึ่งส่วนของโครงการภาครัฐ อาจต้องใช้เวลาในการเข้าถึง แต่คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องในปีนี้ และวางเป้าใน 3 ปีข้างหน้ามีงานในโครงการภาครัฐมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีและเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้า เฮเฟเล่ ได้จัดงาน “Häfele Big Clearance Sale 2022” ครั้งที่19 โดยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ของปี หลังจากประสบความสำเร็จจากการจัดงานครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดย งาน “Häfele Big Clearance Sale 2022” ครั้งที่19 จัดขึ้น ณ เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ สุขุมวิทย ซ.64 ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคมนี้ พร้อมโปรโมชันแบบจัดเต็ม ลดสูงสุด 70% และกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย