แกรนด์ ยูนิตี้ ชี้ภาพรวมตลาดคอนโดดีขึ้นแม้ยังไม่เทียบเท่าก่อนเกิดโควิด เผยรอบธุรกิจปี 65 บริษัทโกยยอดขาย 3,700 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมโชว์ “อนิล สาทร 12” คอนโดซูเปอร์ลักซ์ชัวรีโครงการแรกของบริษัทรับรางวัล WELL Multifamily Residential Certified™ ระดับ Gold จาก IWBI ปัจจุบันโกยยอดขายแล้วกว่า 65% คาดปิดการขายปี 67
นางสาวทัดดาว จิระสวัสดิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY – “Makes Sense.” กล่าวว่า สำหรับ แกรนด์ ยูนิตี้ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลักของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในราคาที่จับต้องได้เป็นหลัก ซึ่งได้แก่ แบรนด์ บลู รูปแบบคอนโดมิเนียมโลไรส์ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ระดับราคา 70,000-110,000 บาท/ตร.ม. เดนิม รูปแบบโครงการขนาดใหญ่ ระดับราคา 90,000-110,000 บาท/ตร.ม. และเซียล่า รูปแบบคอนโดมิเนียมไฮไรส์ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ระดับราคา 70,000-120,000 บาท/ตร.ม. อย่างไรก็ตาม หากมีทำเลที่ดินที่เหมาะสม ทางบริษัทก็จะมีการพิจารณาพัฒนาโครงการระดับหรูด้วยเช่นกัน
นางสาวทัดดาว กล่าวต่อไปว่า ในปี 2562 บริษัทได้มีการนำร่องพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีโครงการแรกของบริษัท “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) รูปแบบเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ สูง 42 ชั้น บนพื้นที่ 1-2-41.30 ไร่ ทำเลใจกลางย่านสาทร ติดรถไฟฟ้าบีที่เอสสถานนีเซนต์หลุยส์ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท จำนวนห้องชุดพักอาศัย 222 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ และมียอดขายแล้วกว่า 65% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทย 70% และกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งได้แก่ จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ อีก 30% โดยในขณะนี้ได้มีการเริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 70% ของจำนวนห้องชุดที่ขายได้ มูลค่าประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดการขายทั้งโครงการในปี 2567
“เรามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการ “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) ให้มีความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ของแกรนด์ ยูนิตี้ และโดดเด่นยิ่งกว่าที่พักอาศัยอื่นๆ ในไทย โดยนำมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลกที่ใส่ใจสุขภาพการใช้ชีวิตภายในอาคารอย่าง WELL Building Standard มาใช้ในโครงการ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดี พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยอย่างยั่งยืน และใส่ใจในทุกรายละเอียดให้สัมผัสได้จริง โดยคำนึงถึงความสำคัญของปัจจัยสุขภาพให้ครอบคลุมทั้ง 7 ชนิด ได้แก่ คุณภาพอากาศ (Air), คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ (Water), สุขภาวะด้านอาหาร (Nourishment), สุขภาวะด้านแสงสว่าง (Light), สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (Fitness), ความสบาย (Comfort) และสุขภาวะทางจิตใจ (Mind) และจากการมุ่งมั่นพัฒนาในครั้งนี้ ทำให้อนิล สาทร 12 ได้รับรางวัลการันตีการอยู่อาศัยด้วยสุขภาวะที่ดีอย่าง WELL Multifamily Residential Certified™ ระดับ Gold จาก IWBI หรือ International Well Being Institute ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ และองค์กรชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้” นางสาวทัดดาว กล่าว
นางสาวทัดดาว กล่าวต่อไปถึงสถานการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยอีกว่า ภาพรวมของตลาดดีขึ้น แต่ยังไม่กลับมาดีเทียบเท่าก่อนเกิดสถานกาณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และจากการที่จะสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อาทิ การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) สำหรับ แกรนด์ ยูนิตี้ ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากการดำเนินธุรกิจเน้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง โดยในรอบธุรกิจปี 2565 (1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2565) บริษัททำยอดขายได้ 3,700 ล้านบาท เกินกว่ายอดขายที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 200 ล้านบาท ขณะที่ในรอบธุรกิจปี 2566 (1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566) บริษัทได้ตั้งหมายยอดขายเอาไว้ 4,000 ล้านบาท และตั้งหมายรายได้เอาไว้ที่ 3,600 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ บลู สุขุมวิท 69 มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีที่ดินขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ เพื่อรอการพัฒนาอีก 1 แปลง ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรู นอกจากนั้นยังกำหนดงบซื้อที่ดินแปลงใหม่เอาไว้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคตอีก 4-5 แปลง