“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ต่อยอดความสำเร็จ เผยโฉม “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี บนทำเลฮอตตลาดบ้านหรู หลังกวาดยอดขายทะลุ 50% ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างจริง เคาะราคา 38-80 ล้านบาท
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซูรีภายใต้แบรนด์ มอลตัน (Malton) มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ปิดการขายได้แม้เผชิญ COVID-19 บริษัทจึงได้ต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวหรูแห่งใหม่ในปี 2565 ภายใต้ชื่อ มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา (Malton Gates Krungthep Kreetha) มูลค่าโครงการกว่า 2,100 ล้านบาท และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชมบ้านตัวอย่างจริงเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 19-20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากได้รับกระแสตอบรับอย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดให้ชม จนมียอดขายแล้วมากกว่า 50% ในจำนวนนี้ 70% เป็นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 30% เป็นกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุน
สำหรับ โครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจาก “มอลตัน” เมืองเก่าแก่ในประเทศอังกฤษ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่ มีชีวิตชีวา และอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเต็มไปด้วยสวนสีเขียว พื้นที่สาธารณะ และใกล้กับแม่น้ำสายสำคัญ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จึงนำนิยามเหล่านี้มาถ่ายทอดใหม่จนเกิดเป็นโครงการ Luxury Wellness Residence บ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์นที่แฝงกลิ่นอายความเป็นอังกฤษ ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Classical Redefine สะท้อนความประณีต สง่างามเหนือกาลเวลา ผ่านอาคารทรงสี่เหลี่ยมแบบย่อมุม และหน้าต่างสูงยาวกรอบสีดำ พร้อมบรรยากาศร่มรื่นจากสวนสีเขียวขนาดใหญ่ 1,100 ตร.ม. บนทำเลศักยภาพ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งไลฟ์สไตล์
SMITHSON
MIDDLETON
LIVINGSTON
สำหรับโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการขนาด 21 ไร่ จำนวน 49 ยูนิต มีแบบบ้านเดี่ยวให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ 1.SMITHSON ขนาด 71-90 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 403 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก ห้องแม่บ้าน และ 3 ช่องจอดรถ 2.MIDDLETON ขนาด 90-108 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 448 ตร.ม. มาพร้อม 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก ห้องแม่บ้าน ลิฟท์ส่วนตัว และ 4 ช่องจอดรถ 3.LIVINGSTON ขนาด 102-137 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 544 ตร.ม. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก 2 ห้องแม่บ้าน ลิฟท์ส่วนตัว และ 5 ช่องจอดรถ พร้อมส่วนกลางครบครัน เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดด้วยประตูทางเข้า Double Gate Security และ Clubhouse ให้เลือกใช้ 2 พื้นที่ รองรับทั้งการทำงาน การพักผ่อน ออกกำลังกาย และการพบปะสังสรรค์ ในราคา 38-80 ล้านบาท
ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร ประธานบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE กล่าวว่า ตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซูรี หรือบ้านที่มีราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปี 2560-2564 มีค่าเฉลี่ยการเปิดตัวโครงการบ้านในแต่ละปีอยู่ที่ 318 หลัง แต่ในปี 2565 มีอัตราการเปิดตัวมากถึง 883 หลัง หรือคิดเป็น 2.8 เท่า ของค่าเฉลี่ยการเปิดตัวโครงการบ้าน 5 ปี โดยกลุ่มผู้ซื้อบ้านในระดับระดับลักซูรี มีทั้งกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรก กลุ่มผู้ที่มีบ้านหรือคอนโดมิเนียมอยู่แล้ว แต่บ้านหลังเดิมหรือคอนโดมิเนียมไม่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย จึงต้องการเปลี่ยนมาอยู่บ้านหลังใหม่
ทั้งนี้ ทำเลที่สามารถตอบโจทย์ตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซูรี อาจไม่ใช่ทำเลในเมืองซึ่งที่ดินหายากมากขึ้น แต่เป็นทำเลที่อยู่รอบๆ ใจกลางเมืองในระยะไม่เกิน 20 กม. โดยทำเลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสูงที่สุดสำหรับตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซูรีขึ้นไปคือกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ซึ่งมีซัพพลายจำนวน 1,449 หลัง หรือคิดเป็น 39% ของทำเลทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลกรุงเทพกรีฑา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีซัพพลายทั้งสิ้น 492 หลัง และมียอดขาย 71% สะท้อนความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้ากลุ่มบ้านหรูได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ จากการสำรวจของซีบีอาร์อีพบว่า หลังโควิด-19 ตลาดบ้านระดับบนมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่ต้องการพื้นที่เพิ่มมากขึ้น มีความเป็นส่วนตัว คำนึงถึงเรื่องสุขภาพ การทำงานจากบ้าน และการก่อสร้างบ้านเองในช่วงโควิด-19 ระบาดก็ทำได้ลำบากมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าในตลาดกลุ่มนี้มองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ด้านคุณภาพชีวิตที่ดี อาทิ ฟังก์ชั่นและการออกแบบที่คำนึงถึงสุขภาวะของผู้อยู่อาศัย รองรับการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชั่น มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลาย มีพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืนเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก อีกทั้งลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับทำเลและสิ่งแวดล้อมรอบโซนที่อยู่อาศัย ปัจจุบันการเชื่อมต่อของถนนและรถไฟฟ้าทำให้การเดินทางเข้าเมืองหรือไปยังทำเลรอบเมืองสะดวกมากขึ้น นอกจากนั้น พื้นที่นอกใจกลางเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภครองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพื้นที่อีกด้วย