กางแผนธุรกิจกลุ่ม “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” และ “แกรนด์ แอสเสท” ปี 67 ตั้งเป้ายอดขายรวม 20,000 ล้านบาท เป้ารายได้ 18,000 ล้านบาท มุ่งปรับโครงสร้างการเงินให้แข็งแกร่ง ลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้เหลือ 1 เท่าภายในปีนี้ พร้อมลดหนี้ 11,000 ล้านบาทใน 3 ปี เผยรายได้จากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรมเติบโตเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปี 2567 เป็นปีที่ถือว่าไม่สดใสนักสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่อยู่ในสถานการณ์ที่พอประคองตัวได้ ซึ่งหากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ FED มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงตามแนวโน้มที่มีการคาดการณ์ไว้ และธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเกบี้ยตาม สถานการณ์ทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากในการลดอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 1% กำลังซื้อจะกลับมา 7% ซึ่งในปีนี้หากมีการลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 7.5% กำลังซื้อก็จะกลับมา 5%
นายวงศกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนธุรกิจของ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ปี 2567 บริษัทมุ่งเน้นการจัดการเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ลดภาระหนี้ พัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ และการดำเนินงานเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้กลุ่มบริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 9,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,540 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 4,460 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปีนี้ตั้งไว้ที่ 18,000 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 8,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,380 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 3,770 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท
“ปีนี้กลุ่มบริษัทยังมีนโยบายสร้างความมั่นคงด้านการเงิน ให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้มากกว่าการขยายตัว โดยมาจากการขายที่ดินและขายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมจากพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 2,000 ล้านบาท แกรนด์ แอสเสทฯ 5,000 ล้านบาท รวมเป็น 7,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนลดภาระหนี้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ใน 2 ปีข้างหน้าอีกปีละ 2,000 ล้านบาท จากการขายที่ดินและเงินคืนจากบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะทำให้กลุ่มบริษัทสามารถลดภาระหนี้ลงรวม 11,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี”
ในส่วนโครงการร่วมทุน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีการร่วมทุนกับ 3 บริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าโครงการรวม 28,120 ล้านบาท มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเติบโตอีก 24% ขณะที่ธุรกิจโรงแรมปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากปีก่อนถึง 54% ซึ่งมีปัจจัยบวกหลักคือสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับสู่ภาวะปกติ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงงานประชุมต่างชาติ โดยโรงแรมทั้ง 5 แห่งของบริษัท มีอัตราเข้าพักและราคาเฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสามารถสร้างกำไรจากการบริหารงานได้สูงกว่าปี 2565 อยู่ที่ 152% อีกทั้งมากกว่าปี 2562 ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ถึง 10% สำหรับปี 2567 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 22% กำไรขั้นต้นเติบโต 36% จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัท นายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วางเป้าขายอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 12,000 ล้าน มีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 6,290 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,410 ล้านบาท เป็นแนวราบทั้งหมดโฟกัสกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน โครงการไฮไลท์ได้แก่ “เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์” ซึ่งเป็นการกลับมาสานต่อความสำเร็จของแบรนด์เพอร์เฟค เพลส ในโซนกรุงเทพตะวันตก ทำเลที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและได้รับการตอบรับอย่างดีมากว่า 20 ปี “วาวิล่า” โครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นจับกลุ่มลักซ์ชัวรี่เพิ่มเติมในทำเลกรุงเทพกรีฑา และยังมีการขยายโครงการในทำเลใหม่ ได้แก่ “โมดิ วิลล่า สถานีคูคต” เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่มีศักยภาพการเติบโตสูง บริษัทยังเน้นการพัฒนารูปแบบสินค้าทั้งบ้านเดี่ยวในโครงการเพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค ที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ เพิ่มฟังก์ชั่นและขยายพื้นที่ใช้สอย รวมถึงการกลับมารุกตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นอีกครั้ง ด้วย “เดอะ เมทโทร” ทาวน์โฮมที่ปรับโฉมใหม่ให้สวยงามเรียบง่ายในสไตล์มินิมอลลิสต์
นายวงศกรณ์ กล่าวเสริมว่าปีนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-บน เป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่กำลังซื้อมีความแข็งแรง และเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด เนื่องจากที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมมีการโอเวอร์ซัพพลายในบางทำเล แม้ในช่วงวิกฤตโควิดจะมีการเปิดตัวลดลงและมีการดูดซับซัพพลายไปบางส่วน แต่สำหรับสินค้าในระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท กำลังซื้อยังอ่อนแอเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อได้รับผลกระทบทางด้านรายได้จากวิกฤตโควิด ประกอบกับธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น และการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมก็ใช้ต้นทุนในการรพัฒนาสูงตั้งแต่เริ่มต้นก่อสร้าง ขณะที่กว่าจะรับรู้รายได้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียมจึงมีความเสี่ยงในการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังซื้อยังอ่อนแอ