A5” ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ทำกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 ที่ 30 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 450% และมียอดรับรู้รายได้ 229 ล้านบาท เติบโต 9% จากที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารต้นทุนในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 33% เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกอายุ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7% ต่อปี แก่นักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ผ่านผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ ราย เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมความแข็งแกร่ง วางแผนเปิดโครงการใหม่อีก โครงการในช่วงที่เหลือของปีนี้ 

นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีอัตราเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะกำไรสุทธิที่ทำได้ 30 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 450% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผนวกกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยที่ยังมีอัตราเพิ่มขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 33% ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) อยู่ที่ 229 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านในโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ และโครงการบ้านรชยา วงแหวนนาดี จังหวัดอุดรธานี ที่ปิดการขายได้แล้วทุกยูนิต  

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด เดือนแรกของปีนี้ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโตสอดคล้องกัน หากไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/2564 จำนวน 105 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวม 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 401% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมกำไรสุทธิจากการขายที่ดินในไตรมาส 1/2564) และมียอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) อยู่ที่ 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้จากการขายที่ดินในไตรมาส 1/2564) 

A5 ถือว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นปี แต่เราต้องการเป็นหุ้นอสังหาฯ ที่มีพื้นฐานดี มีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยผลประกอบการล่าสุดแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของบริษัทฯ และการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์นิชมาร์เก็ตต่อไป” นายศุภโชค กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้เป็นครั้งแรก (ครั้งที่ 1/2565) มูลค่ารวมไม่เกิน 680 ล้านบาท แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนครบกำหนด อายุ ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 กำหนดผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก เดือน จองซื้อขั้นต่ำ  แสนบาท ทวีคูณครั้งละ แสนบาท  

โดยผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อผ่านผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ 6 ราย ในวันที่ 18 -19 และ 22–23 สิงหาคม 2565  ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอสเอสแอล จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอเชียเวลท์ จำกัด   

ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะทยอยฟื้นตัว แม้ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากเดิม 0.50% เป็น 0.75% แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดีของการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับขึ้นราคาบ้านมากนักเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นการซื้อบ้านในปีนี้น่าจะได้ราคาที่ดีกว่าปีหน้าอย่างแน่นอน  

ขณะที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,500 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท ตามที่บริษัทฯ วางไว้ ได้แก่ โครงการบ้านแนวราบระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท โครงการบ้านรชยา ประชาสันติ จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองตั้งแต่ยังไม่เปิดพรีเซล และบ้านจัดสรรอีก โครงการในจังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัท อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน เพื่อเตรียมไว้พัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ 1-2 แปลงในเร็วๆ นี้ รวมถึงมองหาที่ดินเพิ่มเติมในทำเลที่มีศักยภาพ ส่วนความคืบหน้ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์” มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 87% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธ์ในไตรมาส 2 ปีหน้าตามแผนที่วางไว้