‘บมจ.บริทาเนีย’ หรือ BRI รับผลเชิงบวกจากความกังวล COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาด หนุนความต้องการซื้อบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตแบบ New Normal ตอกย้ำความสำเร็จแคมเปญ The new era of 6 เปิดตัว 6 โครงการคุณภาพ กวาดยอดพรีเซล 2 วันทะลุ 500 ล้านบาท มองตลาดบ้านแนวราบดีต่อเนื่อง หลังรัฐบาลประกาศมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง คาดช่วยกระตุ้นตลาดคึกคัก

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI
เปิดเผยว่า หลังจากที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ได้วางเป้าหมายสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงไตรมาส 4/2564 และแผนงานทยอยเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2565  

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทยและอีกหลายประเทศ ซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม ส่งผลให้รัฐบาลตัดสินใจปิดระบบการรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรายใหม่ที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นการชั่วคราว นำมาสู่ความกังวลว่าอาจเกิดการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลเชิงบวกต่อบริษัท และภาพรวมตลาดบ้านจัดสรร ทำให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีฟังก์ชันการใช้งานภายในที่แบ่งแยกเป็นสัดส่วน มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้เป็นอย่างดี

ผลเชิงบวกดังกล่าว เห็นได้จากการการจัดแคมเปญ The new era of 6 โดยเปิดจองรอบ VVIP Day บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม 6 โครงการใหม่ในไตรมาส 4/2564 เมื่อวันที่ 18 – 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่มีลูกค้าเข้าเยี่ยมชมอย่างคึกคักในทุกโครงการและสามารถปิดยอดขาย (พรีเซล) ในช่วง 2 วันของการจัดงานได้ถึงกว่า 500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงดีมานด์ในตลาดบ้านจัดสรรที่แข็งแกร่งและตอบโจทย์วิถีชีวิตแบบ New Normal

นอกจากนี้ คาดว่าภาพรวมตลาดบ้านจัดสรรในปี 2565 ยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาประเมินและวงเงินจดจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยจะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มระดับราคาดังกล่าว

“แม้ว่าปัจจุบันเริ่มมีความกังวลกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจ แต่เรามองว่าเป็นผลเชิงบวกต่อความต้องการซื้อบ้านจัดสรร โดยในปี 2565 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,800 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อตอบสนองดีมานด์ที่อยู่อาศัย” นางศุภลักษณ์ กล่าว