CIVIL เผยผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 รายได้ 3,930 ล้านบาท กำไรโตกระฉูด 3,278% ทิศทางธุรกิจปีหน้าสดใส เร่งส่งมอบโครงการตามแผน เพิ่มความสามารถการทำกำไรในระดับดีต่อเนื่อง มุ่งเน้นบริหารกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มั่นใจสถานการณ์ก่อสร้างแนวโน้มดีขึ้น พร้อมวางแผนพัฒนาศักยภาพการบริหารงาน และ ต้นทุนก่อสร้างอย่างใกล้ชิด

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL บริษัทก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 3,930 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,629 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2 ล้านบาท จำนวน 65 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 3,278 %

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,312 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,418 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6 ล้านบาท พลิกทำกำไรเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 69 ล้านบาท จำนวน 75 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการลดลงของรายได้งานก่อสร้างในกลุ่มงานรถไฟ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา (สัญญาที่ 2-1 สีคิ้ว – กุดจิก) ซึ่งอยู่ระหว่างการส่งมอบงานอย่างเป็นทางการ และ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ขณะนี้อยู่ในช่วงปลายงาน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสัดส่วนงานโครงการก่อสร้างใน กลุ่มงานทาง และ กลุ่มงานระบายน้ำและบรรเทาอุทกภัย เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทสามารถพลิกฟื้นกำไรสุทธิของงวด 9 เดือน และ ไตรมาส 3/2566 จากความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายที่ลดลง รวมถึงรายได้จากการดำเนินงานในธุรกิจอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น อาทิ ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และ ธุรกิจให้เช่า อีกทั้งบริษัทยังสามารถบริหารอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.8% เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 6.1% จากการสะท้อนอัตรากำไรที่เป็นปกติจากโครงการที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับทิศทางการดำเนินงานหลังจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น โดยเร่งการดำเนินงานพร้อมส่งมอบงานโครงการก่อสร้างที่แล้วเสร็จตามกระบวนการ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามารถส่งมอบงานโครงการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้จำนวน 24 โครงการ และสามารถรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสเงินสดมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเกิดจากการบริหารจัดการงานโครงการส่งผลให้การจัดเก็บเงินมีประสิทธิภาพดีขึ้นและการเข้ารับงานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

“ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากทิศทางการลงทุนและแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งราคาต้นทุนวัสตุก่อสร้างที่มีความผันผวนในช่วงปีก่อนเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีที่สุด โดยการนำเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่มีคุณภาพมาใช้ในการติดตามงานและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บริษัทยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างเป็นระยะ เพื่อสามารถบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว