CPANEL เผยรายได้ปี 64 โตกว่า 35% ชี้ปี 65 เปิดแผนธุรกิจปี 65 ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี (Technology Driven) ยกระดับความสามารถการแข่งขัน ลุ้นผลประกอบการทำนิวไฮ ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 25% พร้อมขยายฐานลูกค้าอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ โชว์ Backlog 1,190 ล้านบาท ไตรมาสแรกจ่อเซ็นสัญญาลูกค้าเพิ่มกว่า 200 ล้านบาท

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด มหาชน (CPANEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) เปิดเผยว่า ในปี 2564 รายได้ของบริษัทเติบโตกว่า 35% โดยสัดส่วนรายได้มาจากลูกค้ากลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 88.99% และผู้รับเหมาก่อสร้าง 12.94% และรายได้อื่นๆ 1.07% โดยในปี 2564 พบว่าลูกค้ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และหากจำแนกสัดส่วนรายได้ตามประเภทโครงการพบว่ามาจากโครงการแนวราบ 88.51% คอนโดมิเนียม 5.95% และโรงงาน 5.54% โดยพบว่าสัดส่วนรายได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียมและโรงงานสูงขึ้นจากปี 2563 เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในกลุ่มราคาไม่สูง ตลอดจนการเริ่มเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงงานเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีรายได้มาจากโครงการอื่นๆ นอกจากโครงการแนวราบมากขึ้น

ทั้งนี้ในปี 2565 มีการคาดการณ์ว่าตลาดสังหาริมทรัพย์จะเติบโต 15% โดยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์แนวราบจะเติบโต 30% และคอนโดมิเนียมจะเติบโต 3-5% ขณะที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นอย่างน้อย 15% เนื่องจากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น การลดราคาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563  ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ราคาผนังคอนกรีตสำเร็จรูปก็จะมีการปรับราคาขึ้นประมาณ 15% เช่นกัน

นายชาคริต กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2565 อีกว่า บริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี (Technology Driven) เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการดำเนินงาน ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายผลประกอบการทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 25%

สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2565 บริษัทจะดำเนินการพัฒนาเครื่องจักรที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการออกแบบ ความรวดเร็ว ปริมาณ และคุณภาพ Precast Concrete เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต นอกจากนี้ ยังมีแผนนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการประสานงานกับลูกค้า การบริหารจัดการภายใน ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่างๆ ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถการทำกำไรมากขึ้น

ส่วนแผนการขยายฐานลูกค้า บริษัทยังคงรักษากลุ่มลูกค้าเดิมและเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีแนวโน้มขยายโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,190 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 74% แนวสูง 16% ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทอยู่ระหว่างรอสัญญาจากลูกค้าแนวราบ 4 ราย แนวสูง 2 ราย มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสัญญาณที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มทยอยฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาในหลายพื้นที่ ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการปลดล็อค LTV ส่งผลให้โครงการบ้านยังเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าของบริษัท ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จึงวางแผนการลงทุนโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะใช้ Precast Concrete มากขึ้น

“จากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าการแข่งขันของผู้ประกอบการจะยิ่งสูงขึ้น โดยต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานได้ทันเวลา ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน อีกทั้งสามารถรักษาเงินทุนหมุนเวียน (Working Cap) ในการดำเนินงานได้

Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี เนื่องจากเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่สั้น ตั้งแต่ออกแบบจนถึงส่งมอบบ้านหลังแรกได้ภายใน 15 วันและหลังถัดไปได้ประมาณ 7 วันนับจากวันที่ลูกค้ายืนยันแบบ CPANEL จึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว