ESTAR ชี้บ้านฉาง – ระยอง ทำเลศักยภาพ เผยมีแลนด์แบงก์ในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออกทำนิวไฮ กวาดรายได้ 700 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งพื้นที่บ้านฉาง 25% เตรียมผุดเพิ่มโครงการแนวราบต่อเนื่อง แย้มแผนรุกตลาดแนวสูงในอีก 5 ปี หลังสนามบินอู่ตะเภาส่วนต่อขยายแล้วเสร็จ
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR กล่าวว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรีมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยองมีมูลค่า 10,000-12,000 ล้านบาท แต่ในช่วงปี 2564-2566 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรีและระยองเติบโตขึ้นมาก โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรีมีมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยองมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ของทั้งสองจังหวัดรวมกัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลนั้น มีมูลค่าประมาณ 450,000 ล้านบาท
“ระยอง – บ้านฉาง นับเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดยเฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กรุงเทพฯ สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2572 ซึ่งการเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานจำนวนมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สำหรับระยอง พบว่ามี GDP สูงเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ และในระยอง โซนที่มี GDP สูงคือบ้านฉางและมาบตาพุด” นายไพโรจน์ กล่าว
แกรนด์ เวลาน่า
สำหรับ ESTAR ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา – บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วนของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ ในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิดใหม่ คือ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของเฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะอยู่ที่ 80% ของเฟสแรก
“จากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย โดยในช่วงต้นปี 2567 จะเปิดตัว โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท กำหนดราคาขาย 5.5-9 ล้านบาท โดยคงเน้นกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มผู้บริหารบริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 70,000 – 300,000 บาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา – บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีความคืบหน้าแล้วกว่า 60%
โครงการเวลาน่า ไฮด์
“อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการ ESTAR ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนต์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ-12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท” นายไพโรจน์ กล่าว
นายไพโรจน์ยังกล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนปลวกแดง บ้านฉาง และนิคมพัฒนาของจังหวัดระยอง มีมูลค่ารวมกัน 23,178 ล้านบาท ซึ่ง ESTAR ครองส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 3% (700 ล้านบาท) ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนบ้านฉาง มีมูลค่า 2,752 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ESTAR ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ราว 25% และคาดว่า ESTAR จะครองส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ซึ่งภายใน 5 ปี (ปี 2567-2571) อสังหาริมทรัพย์ในโซนบ้านฉางของ ESTAR จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท
สำหรับ ESTAR ปัจจุบันมีที่ดินในระยองประมาณ 1,000 ไร่ โดย 500 ไร่อยู่ในพื้นที่บ้านฉางและถนนบูรพาพัฒน์ และอีก 500 ไร่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ของระยอง โดยที่ดิน 1,000 ไร่ มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้อีกถึง 10 ปี
นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทยังมีแผนซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม 3 แปลง มูลค่ารวม 600 ล้านบาท (แปลงละประมาณ 200 ล้านบาท) แบ่งเป็นที่ดินในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 แปลง และในพื้นที่ภาคตะวันออก (EEC) อีก 1 แปลง และในอีก 5 ปีข้างหน้า หลังสนามบินอู่ตะเภาส่วนต่อขยายแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้ที่ดินบริเวณรอบๆ สนามบินราคาพุ่งสูงขึ้น จนทำให้ราคาบ้านแนวราบขยับตัวขึ้นไปสูงมาก บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ในจัดหวัดระยอง บนที่ดินของบริษัทที่อยู่ติดกับโรบินสัน บ้านฉาง 1 แปลง และที่ดินแปลงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโลตัส บ้านฉาง อีก 1 แปลง ด้วย