ESTAR ดึง “ไพโรจน์ วัฒนวโรดม” เสริมแกร่งธุรกิจ กางแผนเพิ่มพอร์ทแนวราบ สร้างรายได้ เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี ปั้นรายได้ทะยานสู่ 3,000-5,000 ล้าน
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เปิดขายอยู่ในโซนกรุงเทพฯ 6 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการพร้อมอยู่ที่ยังขายในปีนี้ 3 โครงการ มูลค่าคงเหลือรวม 1,100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 และ โครงการเอสทารา เฮเว่น พัฒนาการ 20 ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายและพร้อมโอนภายในปีนี้ รวมทั้ง โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 โครงการควินทารา มาย’เจน รัชดา – ห้วยขวาง โครงการควินทารา มาย‘เซน พร้อมพงษ์ และโครงการ ควินทารา มาย’เดน โพธิ์นิมิตร ทั้งนี้ ในส่วนของระยอง ในปีนี้มีจำนวน 6 โครงการพร้อมอยู่ มูลค่ารวม 2,850 ล้านบาท ที่ยังเปิดขายอย่างต่อเนื่อง และมีบางโครงการใกล้ปิดการขายเร็วๆ นี้ ได้แก่ โครงการแกรนด์เวลาน่า อู่ตะเภา – บ้านฉาง โครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา – บ้านฉาง และโครงการบรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ใกล้ปิดการขายแล้ว เพราะมียอดขายไปกว่า 98% นอกจากนี้ยังมีโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท และโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท ซึ่งจากภาพรวมในตอนนี้ โครงการพร้อมอยู่มี Backlog เหลืออยู่ที่ประมาณ 560 ล้านบาท
ควินทารา มาย’เดน โพธิ์นิมิตร
นายไพโรจน์ กล่าวว่าที่ผ่านมา ESTAR จะเน้นการพัฒนาโครงการแนวสูงเป็นหลัก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้นานกว่าโครงการแนวราบ ดังนั้นหลังจากที่ตนเข้ามาบริหารงาน ภายใน 3 ปี จะเร่งปรับพอร์ทการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 80% โครงการแนวราบในสัดส่วน 20% เป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 50% และโครงการแนวราบในสัดส่วน 50% เพื่อสร้างการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอและเติบโตต่อเนื่อง โดยจะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบอย่างน้อยปีละ 3 โครงการ ระดับราคา 5-9 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 โครงการ และในจ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทมีความชำนาญและมีที่ดินสะสมเพื่อรองรับการพัฒนาอยู่แล้วส่วนหนึ่งอีก 1 โครงการ โดยจะเน้นพัฒนาโครงการในพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แปลงละประมาณ 15-25 ไร่ ซึ่งจะสามารถปิดการขายแต่ละโครงการได้ภายใน 3 ปี
เอสทารา เฮเว่น พัฒนาการ 20
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทได้ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนซื้อที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลรองรับพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2567 รวม 3 แปลง โดยล่าสุดได้ที่ดินมาแล้ว 1 แปลง จำนวน 16 ไร่ โซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการทาวน์โฮม 2-3 ชั้น ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 156 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ส่วนอีก 2 แปลง อยู่ในช่วงพิจารณาหาที่ดินที่มีความเหมาะสม นอกจากนั้นบริษัทยังมีที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลอีก 2 แปลง คือที่ดินย่านแยกติวานนท์ จำนวน 7 ไร่ และย่านเย็นอากาศ 3 ไร่ ซึ่งที่ดินในย่านเย็นอากาศอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะร่วมกับนักลงทุนซึ่งเป็นดีไซน์เนอร์ชั้นนำพัฒนาโครงการแนวราบในระดับราคา 40-80 ล้านบาท จำนวน 12 ยูนิต เจาะกลุ่มลูกค้านักธุรกิจซึ่งมีความต้องการบ้านหรูในทำเลใจกลางเมือง ซึ่งคาดว่าเริ่มพัฒนาได้ในปี 2567
บรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท
สำหรับที่จ.ระยอง บริษัทมีแผนเตรียมที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 5-9 ล้านบาทอีก 2 โครงการในปี 2567 บนที่ดินรอบสนามกอล์ฟอีสเทอร์น สตาร์ แอนด์ รีสอร์ท อ.บ้านฉาง ใกล้กับสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รวม 6 แปลง จำนวน 238 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 2 แปลง และคาดว่าทั้ง 2 แปลงที่พัฒนาไปแล้วจะสามารถปิดการขายได้ในปีหน้า
นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2566 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายเอาไว้ที่ 3,100 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย และหลังปรับแผนธุรกิจคาดว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถทำรายได้แตะ 3,000 – 5,000 ล้านบาท