ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลประกอบการ Q1/2566 ยอดกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทะลุ 4,430 ล้าน เติบโต 31% พร้อมกำไรสุทธิ 798 ล้าน หลังโครงการบ้านคอนโดสร้างเสร็จปี 65 ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง โรงแรมคลังสินค้า เสร็จใหม่ทยอยรับรู้รายได้ ปิดดีลร่วมทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยโรงแรมคลังสินค้า 15 โครงการ มูลค่ากว่า 16,515 ล้าน วางแผนพัฒนาในปี 2566 – 2568 แบ็คล็อกแกร่งทะลุ 44,221 ล้าน  

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค.2566) บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรรวมทั้งสิ้นกว่า 4,430 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 31% รวมโครงการที่อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (JV) ที่ทยอยสร้างเสร็จและรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,279 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงการร่วมทุนที่บริษัททยอยสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง 

สำหรับโครงการที่สร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 1/2566 คือกลุ่มโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 และยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงโครงการสร้างเสร็จใหม่ในไตรมาส 1/2566 อาทิ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี (Park Origin Ratchatewi) พาร์ค ออริจิ้น จุฬาสามย่าน (Park Origin Chula-Samyan) แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Sriracha) ตลอดจน ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ลาดพร้าว อินเตอร์เชนจ์ (Origin Plug & Play Ladprao Interchange) 

ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 798 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8% มาจากทั้งกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ในเครือ อาทิ ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ที่เปิดดำเนินงานแล้วจำนวน โครงการในปี 2565 และมีโครงการก่อสร้างเสร็จใหม่ และทยอยรับรู้รายได้เป็นครั้งแรกอีก โครงการ จำนวนห้องพักรวม 411 ห้อง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีทส์ แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit) ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) 

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดดีลร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่กับภาคเอกชนและเจ้าของที่ดิน (Landlord) ทั้งในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม และคลังสินค้า รวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,515 ล้านบาท (รวมมูลค่า REIT ประมาณการณ์ของโครงการโรงแรมและคลังสินค้า) แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม โครงการ บ้านจัดสรร โครงการ โรงแรม โครงการ และคลังสินค้า 2  โครงการ โครงการส่วนใหญ่เป็นการวางรากฐานสู่อนาคต โดยการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน (Landlord) ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการมีที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในหลายจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทจะขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ ไปทั่วประเทศไทย โดยมีแผนพัฒนาโครงการในปี 2566 – 2568 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2566 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2566 เนื่องจากช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่มีขึ้นต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวมีเม็ดเงินสะพัด ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรม บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเป็นไปอย่างคึกคัก อีกทั้งเม็ดเงินการลงทุนจากภาครัฐน่าจะกลับมาเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ที่แข็งแกร่ง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 44,221 ล้านบาท โดยเป็นยอดจากทั้งกลุ่มโครงการ JV และ Non-JV ที่จะทยอยรับรู้ในปี 2566 อีกประมาณ 17,253 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในช่วงไตรมาส 1/2566 จะส่งผลให้บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์รออยู่แล้วกว่า 72% ของเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท เมื่อประกอบกับความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือที่มีการกระจายพอร์ตออกสู่หลากหลายธุรกิจ ไม่เพียงเฉพาะธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทจึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2566 นี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้