PROUD เผยผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 รายได้ 1,324 ล้านบาท กำไรสุทธิ 149 ล้านบาท โต 143 % คาดแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/2566 โตต่อ ทยอยรับรู้รายได้ โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหินเพิ่ม เดินหน้าอัดโปรฯเด็ด กระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้ายปี เตรียมรับรู้รายได้โครงการ นิว ครอส คูคต สเตชันเพิ่ม โชว์แบ็คล็อกในมือแตะ 10,491 ล้านบาท

นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,324  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 330 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 994  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33% และมีกำไรสุทธิ 149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้รวม 123 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ ล้านบาท

ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือนของบริษัทเติบโตทั้งรายได้และกำไร เป็นผลจากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหินเข้ามาเพิ่มเติม โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 96% หรือมูลค่ารวม 3,644 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (Backlog) 187 ล้านบาท คาดสามารถปิดการขายโครงการสำเร็จได้ภายในปีนี้

สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส /2566  แนวโน้มเติบโตดี จากความต้องการอสังหาริมทรัพย์กลุ่มกำลังซื้อระดับบนยังอยู่ในระดับที่ดี รวมถึงการทยอยฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว จะสามารถผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนวิกฤติ COVID-19 ส่งผลให้กำลังซื้อจากต่างชาติทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการซื้อเพื่อการลงทุนมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น

บริษัทฯ เร่งจัดกิจกรรมการตลาด อัดโปรโมชั่นโครงการแนวสูง-แนวราบที่อยู่ระหว่างขายทุกโครงการ เพื่อกระตุ้นยอดขายและรับรู้รายได้ในช่วงโค้งสุดท้ายปี ได้แก่  โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน โครงการ เวหา หัวหิน โครงการรมย์ คอนแวนต์โครงการวีอารีย์ อีกทั้ง โครงการ นิว ครอส คูคต สเตชัน มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 100% คาดว่าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในไตรมาส 4/2566 และเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มเติมตามเป้าหมายที่วางไว้

ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 จำนวน 10,491 ล้านบาท ซึ่งเป็น Backlog ที่สูงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ประมาณ 300 – 400 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้จนถึงปี 2569