ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยข้อมูลสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 68 ปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยบวกมาตรการของรัฐบาล คาดการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้นแม้เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ดันยอดการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปีขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมว่า ปี 2568 มีปัจจัยสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งจากการที่รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7ล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลง ปัจจุบันคงเหลือ 1.50% และการที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนมากขึ้น
นายกมลภพ เปิดเผยอีกว่า การที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ การลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลให้อุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีจำนวน 77,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5% จากการโอนในไตรมาส 1 ที่มีจำนวน 65,276 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 210,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% จากยอดการโอนในไตรมาส 1 ที่มีมูลค่า 181,545 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาพรวมครึ่งแรกปี 2568 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 142,619 หน่วย ลดลง -10.7% และมีมูลค่า 391,601 ล้านบาท ลดลง -13.3% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2567
หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568 (QoQ)
มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568 (QoQ)
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ ไตรมาส 2 ปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน โดยมีจำนวน 3,248 หน่วย ลดลง -2.2% และมีมูลค่า 12,318 ล้านบาท ลดลง -16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยชาวต่างชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ จีน พม่า รัสเซีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมัน อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งจีนมีแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้ มีจำนวน 899 หน่วย ลดลง -28.8% และมีมูลค่า 3,391 ล้านบาท ลดลง -39.4% และคาดว่ากำลังซื้อชาวจีนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ขณะที่พม่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 533 หน่วย เพิ่มขึ้น 119.3% มีมูลค่า 1,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% และคาดว่ากำลังซื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ที่อยู่อาศัยในพม่าได้รับความเสียหาย
ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 มีมูลค่า 134,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.6% จากไตรมาส 1 ซึ่งมีมูลค่า 109,368 ล้านบาท และลดลง -6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 143,409 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคล มูลค่า 243,483 ล้านบาท ลดลง -7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 264,330 ล้านบาท
ขณะที่อุปทานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ- ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เพียง 6,165 หน่วย ซึ่งเป็นจำนวนการเปิดขายที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการสำรวจข้อมูลเป็นรายไตรมาสตั้งแต่ปี 2565 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในภาพรวมไตรมาสนี้ ลดลง -64.6% เป็นการลดลง 6 ไตรมาสต่อเนื่อง โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ เปิดขายลดลง -59.7% และอาคารชุด เปิดขายลดลง -70.4% ซึ่งช่วงครึ่งแรก ปี 2568 มีการเปิดขายโครงการใหม่รวม 17,988 หน่วย ลดลง -46.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดขายลดลง -58.1% และอาคารชุดเปิดขายลดลง -34.1%
นายกมลภพ กล่าวต่อไปอีกว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่มีผลกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจ ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนมีแนวโน้มลดลง ขณะที่การลงทุนของผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย หรือโครงการเปิดขายใหม่มีแนวโน้มลดลง และผู้ซื้อบ้านขาดความสามารถในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายกลางและเล็กมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องสูงขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ขณะที่ยังมีปัญหาการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่คาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยดันยอดการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปี 2568 ขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน โดย REIC คาดว่าทั้งปี 2568 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จำนวน 343,678 หน่วย ลดลง -1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 347,799 หน่วย และมีมูลค่า 964,027 ล้านบาท ลดลง -1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 980,648 ล้านบาท
ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั่วประเทศ ในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 582,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 ซึ่งมีมูลค่า 584,843 ล้านบาท ขณะที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่าจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ จำนวน 52,000 หน่วย ลดลง -17.2% จากปี 2567 หรือลดลงไปใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ที่คาดว่าจะมีมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ประมาณ 390,000 ล้านบาท ลดลง -22.2% จากปี 2567