SA เผยครึ่งปีหลังตลาดอสังหาฯ ไม่สดใสนัก แต่ยังได้อานิสงค์จากภาคการท่องเที่ยว เผยลูกค้าชาวจีนเริ่มกลับมา คาดปีนี้ทำรายได้ 5,500 ล้าน โชว์ได้รับรางวัล EDGE Champion จาก IFC (International Finance Corporation: IFC) และประกาศนียบัตร “ESG100 Company ปี 2566” จากสถาบันไทยพัฒน์ แย้มเตรียมต่อยอด Green Finance กับ IFC ในอนาคต
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA กล่าวว่า SA ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายในรูปแบบโครงการแนวราบและโครงการแนวสูงและธุรกิจอื่นที่สนับสนุนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจพื้นที่พาณิชย์เพื่อการเช่า โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมไปแล้ว 21 โครงการ มูลค่ารวม 47,200 ล้านบาท กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 7 โครงการ มูลค่ารวม 15,800 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพัฒนา 6 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 7,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 2,000 ล้านบาท
นายขจรศิษฐ์ ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งหลังของปี 2566 ว่าน่าจะไม่สดใสมากนัก จากปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาพลังงานที่ยังไม่คงที่ แต่จะมีปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยว โดยการเปิดประเทศของจีน จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมามีจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอาจติดปัญหาเรื่องเที่ยวบินที่ยังเปิดให้บริการไม่เต็มที่ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังกลับมาไม่เท่าช่วงก่อนเกิดโควิด
สำหรับ SA ในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เดิมก่อนเกิดโควิดมีลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉลี่ยทุกโครงการในสัดส่วนกว่า 30% โดยทำเลหลักของลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนคือทำเลพระราม 9 ซึ่งคอนโดฯ ในทำเลนี้มีลูกค้าชาวต่างชาติเต็มโควต้า 49% ของจำนวนห้องชุดพักอาศัย แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด บริษัทไม่ได้ทำตลาดต่างชาติเลย ส่วนในปีนี้ลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมา โดยมียอดขายจากชาวต่างชาติ 7-8 ยูนิตต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ SA ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 5,500 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ 15-20% โดยในส่วนของรายได้รวมของบริษัทจะมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 85% ซึ่งหลักๆ มาจากการรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จและพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลัง และรายได้ประจำ 15% ซึ่งหลักๆ มาจากธุรกิจโรงแรมทั้ง 5 แห่ง ที่ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 90% และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมแห่งใหม่อีก 1-2 แห่ง ซึ่งคาดว่ารายได้ประจำจากธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 700 – 800 ล้านบาท
นายขจรศิษฐ์ ยังได้กล่าวถึงแผนธุรกิจของบริษัทอีกว่า สำหรับแผนระยะสั้น ในครึ่งหลังของปี 2566 บริษัทจะเพิ่มช่องทางการขายโดยรุกเปิดสาขาที่ฮ่องกง รวมทั้งรุกตลาดกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น และภายใน 2 ปี บริษัทจะปรับสัดส่วนรายได้จากปัจจุบันที่มาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 85% และรายได้ประจำในสัดส่วน 15% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 80% และรายได้ประจำในสัดส่วน 20% เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนรุกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทยังไม่เคยทำมาก่อน อาทิ โครงการ Affordable Housing หรือบ้านในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มูลค่า 1,800 ล้านบาท และโครงการ Wellness Center ซึ่งประกอบด้วย Wellness & Healthcare จำนวน 445 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 1,200 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของโครงการ Wellness Center คาดว่าจะมีการเปิดตัวในปี 2569
นายขจรศิษฐ์ เปิดเผยอีกว่า ล่าสุด SA ได้รับรางวัล EDGE Champion มาตรฐานการรับรองอาคารระดับโลกจากสถาบัน IFC (International Finance Corporation: IFC) สถาบันการเงินในเครือของธนาคารโลก (The World Bank Group) โดย EDGE Champion เป็นมาตรฐานอาคารเขียวและการวัดผลการก่อสร้างอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับมอบประกาศนียบัตร “ESG100 Company ปี 2566” จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งมอบให้กับบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโดย SA ได้รับการรับรองขั้นต้นจาก EDGE ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ Tribe Bangkok Sukhumvit 39 Hotel และ Monsane’ Exclusive Villa Ratchapruek-Pinklao
Tribe Bangkok Sukhumvit 39 Hotel
Monsane’ Exclusive Villa Ratchapruek-Pinklao
“ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นขับเคลื่อนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน น้ำ และลดการใช้พลังงานในการผลิตวัสดุก่อสร้าง เลือกใช้ Materials ที่ช่วยลดผลกระทบจากคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนและการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยที่เป็นอาคารสีเขียว ซึ่งในอนาคตอาคารประหยัดพลังงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป และสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดการเช่าและขายอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี” นายขจรศิษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับแผนระยะยาว นายขจรศิษฐ์ ยังมองว่าจะต่อยอดธุรกิจในเรื่องของ Green Finance ทั้งในด้านของตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) และการกู้ยืมสีเขียว (Green loans) กับ IFC อีกด้วย