“SENA Group” ชี้สังคมไทยเผชิญความท้าทายหลากหลายรูปแบบ เตรียมยกเครื่องรับเมกะเทรนด์โลก ชูคอนเซ็ปต์ “แม่ยก” ขับเคลื่อน Core Business องค์รวมแบบยั่งยืน วางตัว SENAJ เป็นหัวหอกหลักขยายการลงทุนเพิ่ม เน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Niche High End Market พร้อมบริการด้านที่อยู่อาศัย คาดอีก 5 ปีมีรายได้ประจำในสัดส่วน 30%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมต้องเผชิญความท้าทายในหลากหลายรูปแบบ ทั้งภาวะโลกร้อน สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทย ทำให้รายได้เติบโตไม่ทันค่าครองชีพ รวมไปจนถึงก้าวไม่ทันการปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น และจำนวนที่ดินเริ่มมีจำกัด จนทำให้นำมาพัฒนาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ยาก นอกจากนั้น ในปี 2565 ประเทศไทยยังได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มตัว โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 14 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และในอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนผู้ที่จะให้การดูแลผู้สูงอายุก็จะน้อยลงเป็นอย่างมาก ซึ่งความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ “SENA Group” เดินหน้าปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจแบบองค์รวม เพื่อให้สอดรับกับเทนรด์ของโลกซึ่งปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่อง “Sustainability” หรือ “ความยั่งยืน” เพื่อที่จะตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ ในข้างต้น โดย SENA จะปรับบทบาท ไม่ได้เป็นเพียงดีเวลล็อปเปอร์ที่พัฒนาบ้านเพื่อขายซึ่งปัจจุบันไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ซื้อบ้านได้แล้ว แต่จะเป็น “Essential Lifelong Trusted Partner” หรือหุ้นส่วนตลอดชีวิตของผู้ซื้อบ้าน โดย “SENA Group” จะเป็น “แม่ยก” ผลักดันธุรกิจในเครือให้ครอบคลุม เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ ยกระดับองค์กรให้ก้าวทันโลกแห่งอนาคต  ยกระดับทุกธุรกิจในเครือให้เติบโตอย่างยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.เกษรา กล่าวอีกว่า “SENA Group” ได้วางธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อให้ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงและสอดรับกับบริษัทในเครือ ปัจจุบัน ทาง “SENA Group” ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจของทั้งกลุ่มบริษัท เพื่อให้ทุกบริษัทมีความแข็งแกร่ง เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจกับคู่แข่งในตลาด ซึ่งทุกบริษัทในเครือต้องมีการปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร ทั้งนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAD จะยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม Mass Market ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท-10 ล้านบาท เพื่อรองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ขณะที่ตั้งเป้าให้ทางบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ โตแบบก้าวกระโดด พร้อมเป็นหัวหอกหลักการดำเนินขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจตามเมกะเทรนด์โลก โดยเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มเฉพาะ (Niche High End Market) ในกลุ่มลูกค้าระดับสูง รวมถึงผลักดันการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่ามากที่สุด ผ่าน 6 ธุรกิจ ได้แก่

1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน ขยายฐานการพัฒนาโครงการบ้าน Niche High End ระดับราคา 15 -20 ล้านบาท วางแผนเปิดปีละ 1- 2 โครงการ นอกจากนี้ ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน

2.ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร (Property Management) โดยปัจจุบันมีโครงการที่รับบริหารนิติบุคคลโครงการ 97 โครงการ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ขึ้นแท่นสู่ Top 5 ครอบคลุมโครงการรับบริหารรวม 168 โครงการ

3.สถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว (Nursing Home) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับทางบริษัทญี่ปุ่นพัฒนาโครงการในอนาคต

4.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 2 แห่ง คือ ตลาดแพรกษา และ สำเพ็ง 2

5.ธุรกิจขายบ้านมือสอง โดยทางบริษัท เสนา ชัวร์ คัดสรร รับซื้อทรัพย์บ้านมือสองและนำมาปรับปรุงตกแต่งให้อยู่ในสภาพที่ดีเพิ่มมูลค่าและพร้อมขาย ตอบโจทย์ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ราคาจับต้องได้ ตั้งเป้าภายใน 3 ปีสู่ Top 5 ผู้นำตลาดบ้านมือสอง

6.ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยทาง SENAJ มีแผนเข้าซื้อหุ้นบริษัทย่อยของ SENA “แอคคิวท์ เรียลตี้” เพื่อให้บริการนายหน้าขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมบริหารการขายโครงการ และให้บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านการเช่าอสังหาฯ ภายในกลุ่มของ SENA และ SENAJ เป็นต้น

ทั้งนี้ แม้จะมีการเพิ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำมากขึ้น แต่รายได้หลักของ “SENA Group” ยังคงมาจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าหลังปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ คาดว่ารายได้ของ “SENA Group” จะเป็นรายได้ที่มาจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 70% และรายได้หลัก 30%