รมช.คลังเยี่ยมธอส. มอบนโยบายการบริหารงานและติดตามผลการดำเนินงานโครงการตามนโยบายรัฐบาล พร้อมร่วมสังเกตการณ์โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home หลังคลอดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ พบหลังเปิดให้รับรหัสเข้าร่วมโครงการ 1 วัน มีผู้แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการกว่า 3,700 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 10,000 ล้านบาท เผยจ่อขยายวงเงินเพิ่ม พร้อมมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือ 6.795% ต่อปี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังมอบนโยบายการบริหารงาน และติดตามผลการดำเนินงานโครงการตามนโยบายรัฐบาลของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ว่าบ้านในระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก เป็นภาคส่วนที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ซึ่งการที่ธอส. มีโครงการต่างๆ ออกมาช่วยสนับสนุนมาตรการของรัฐ ทั้งโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก 3.00% ต่อปี, โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยหรือเพื่อต่อเติมขยายหรือซ่อมแซมอาคารหรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.98% ต่อปี และการให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) สนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สร้างที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ทางกระทรวงก็ต้องมาให้กำลังใจ
ทั้งนี้ สำหรับโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home ได้เปิดให้ลูกค้าที่สนใจรับรหัสเข้าร่วมโครงการ ผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN ล่าสุด ณ วันที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 8.00 น. มีลูกค้ารับรหัสเข้าร่วมโครงการแล้ว 3,729 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 10,000 ล้านบาท โดยนายกฤษฎา เผยว่ากรณีการจองสิทธิ์ไปแล้ว 10,000 ล้านบาท หากมีการขอสินเชื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท ก็มีโอกาสที่ธอส.จะขยายกรอบวงเงินปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม ส่วนการที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่มีการผ่อนคลายมาตรการเงินดาวน์ขั้นต่ำในการกู้ซื้อบ้าน ( LTV) รวมถึงการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาด ก็จะไม่มีผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ประกาศออกมา เนื่องมาตรการอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนั้นอยู่แล้ว ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึง ธอส.ก็มีการตรึงอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอดและคาดว่าจะต่อเนื่องไปในอนาคตด้วย
และสำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ผ่านมา จากการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้หดตัวลง 8.8% อันเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของภาคประชาชน คาดว่าหลังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะดีขึ้น เนื่องเงื่อนไขของมาตรการจูงใจมาก
ด้านนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า สำหรับการจัดทำโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home, โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life, การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งจัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับผู้สูงวัย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุ ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง คิดเป็นวงเงินประมาณ 70,000 ล้านบาท ซึ่งสำหรับโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home ซึ่งมีลูกค้ารับรหัสเข้าร่วมโครงการแล้ว 3,729 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 10,000 ล้านบาท สะท้อนว่าลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อยู่เป็นจำนวนมาก และ สินเชื่อบ้าน Happy Home สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ทั้งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 5 ปีแรก ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถเลือกซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยได้ตามความต้องการมากขึ้น จากวงเงินในการขอสินเชื่อถึง 3 ล้านบาท และมั่นใจว่าหลังจากนี้จะมีลูกค้าสนใจเข้าร่วมโครงการนี้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาเรื่องเอกสาร ซึ่งสำหรับของขวัญสงกรานต์นี้ หากมีผู้ขอสินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาทแล้ว ก็อาจจะมีการพิจารณาขยายกรอบวงเงินเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยได้มีบ้านเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ นายกมลภพ ยังเผยอีกว่าตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้ ธอส. สนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าและประชาชน ธอส. พร้อมดำเนินการดังกล่าว โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน และการเงิน (ALCO) ของ ธอส. ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.105% ต่อปี จากเดิม 6.90% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.795% ต่อปี ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2567 เป็นต้นไป เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในวันปีใหม่ไทยให้กับลูกค้าและประชาชน ให้มีภาระค่าใช้จ่ายลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ให้มีเงินเหลือเพียงพอในการดำรงชีพได้มากขึ้น ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ในครั้งนี้ของ ธอส. ถือว่าต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงินในปัจจุบัน