“แอลพีเอ็น” เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Transform for Better Living” กางแผนเปิดตัวโครงการ 17 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ชูแบรนด์ “168” ที่พักอาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” ตั้งเป้าสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตามแผนโรดแมป 5 ปี
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทก่อตั้งมาแล้ว 34 ปี จากประสบการณ์ที่พบในช่วงวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 2540 ซึ่งบริษัทประสบภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง ทำให้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทคาดว่าเป็นช่วงขาลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้บริษัทตัดสินใจชะลอการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลง และได้ใช้ระยะเวลาดังกล่าวในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง วางแผนที่จะเดินหน้าต่อ
นายโอภาส กล่าวอีกว่าปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยแอลพีเอ็นกำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีตามแนวคิด “Transform for Better Living” เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนทุกวัย และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ เพื่อสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2569 ตามแผนโรดแมป 5 ปี
“ปี 2566 เป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสถดถอย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปี บริษัทจึงวางแผนยกระดับการบริหารจัดการเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ตั้งแต่การนำร่องเผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ ‘168’ ดังที่ได้เห็นมาบ้างแล้วในช่วงปี 2565 รวมถึงแผนการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมียม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายโครงการ BAAN 365 RAMA 3 ในปีที่ผ่านมา” นายโอภาส กล่าว
โดยการก้าวสู่มิติใหม่ของแอลพีเอ็นที่ยึดความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาองค์กรเป็นสำคัญ จะยังคงรักษาความเป็นสินค้าในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ รวมถึงการปรับปรุงภาพลักษณ์องค์กร แบรนด์สินค้า ตลอดจนตัวสินค้า โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการภายใต้แบรนด์ ‘168’ ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นที่พักอาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Community) ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของการสร้างสรรค์โครงการต่างๆ เพื่อตอบรับ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภายในให้สามารถกระจายรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% ต่อปี ตามแผนการขับเคลื่อนองค์กร ‘Turnaround” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปี 2566 โดยในปี 2565 แอลพีเอ็นได้มีการจัดโครงสร้างการบริหารภายในสู่การบริหารในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จาก 4 หน่วยธุรกิจ ที่ประกอบด้วย 1.คอนโดมิเนียม 2.บ้านพักอาศัยกลุ่ม Value 3.บ้านพักอาศัยกลุ่ม Premium และ 4.ธุรกิจเช่าอาศัย โดยในปี 2566 จะเพิ่มเป็น 5 หน่วยธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการขยายงานในปี 2566 และเพิ่มยอดขายจากการขายคอนโดมิเนียมพร้อมผู้เช่าผ่านงานบริการและการปล่อยเช่า เพื่อตอบโจทย์การขายนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่ำจากการบริหารงานอย่างมืออาชีพจากแอลพีเอ็น นอกจากนั้นยังคงถือหุ้น 100% ในบริษัท แอล.พี.พี. พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้แอลพีเอ็นเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร
ทั้งนี้ นายโอภาส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในปี 2565 แอลพีเอ็นมีรายได้รวม 6,136 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อเทียบกับปี 2564 แบ่งเป็นรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 3,769 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2,064 ล้านบาท และรายได้จากการธุรกิจเช่า 303 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้พิเศษจากการขายอาคารสำนักงาน 2,590 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 1,845 ล้านบาท ที่จะสร้างรายได้ในปี 2566-2568 และสินค้าคงเหลือ (Inventory) มูลค่า 7,000 ล้านบาท
และภายใต้การปรับกลยุทธ์องค์กรดังกล่าว นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 2566 แอลพีเอ็นได้วางเป้าหมายยอดขายเอาไว้ที่ 13,000 ล้านบาท มาจากโครงการคอนโดมิเนียม 9,000 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัย 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 7,600 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 20% จากปี 2565 รวมทั้งเป้ารายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เอาไว้อีก 1,300-1,400 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “168” ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 5,000ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 13 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท
“ปี 2566 นี้จะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีของแอลพีเอ็นที่จะขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในต่างจังหวัดอีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดอุดรธานี ชลบุรี พัทยา และชะอำ มาแล้ว เนื่องจาก เห็นโอกาสในการขยายการลงทุนตามการขยายตัวของเมือง เส้นทางคมนาคม และความต้องการของผู้ซื้อ โดยแอลพีเอ็นจะเน้นขยายการพัฒนาโครงการไปในจังหวัดที่มีศักยภาพในการขยายตัวและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) อาทิ โครงการแนวราบในจังหวัดนครปฐม โครงการคอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยในราคาจับต้องได้ในโซนนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร” นายโอภาส กล่าวสรุป



