“แอสเซทไวส์” ประกาศเดินหน้ารับตลาดอสังหาฯ ฟื้น กางแผนปี ’66 ผุด 12 โครงการใหม่ ทั้งแนวสูงและบาลานซ์ด้วยพอร์ตแนวราบ สร้างความหลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 22,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท และโกยยอดขายปีนี้กว่า 15,000 ล้านบาท
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขึ้นปีที่ 19 ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 47 โครงการ มูลค่า 49,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 34 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ โดยในปี 2565 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ มูลค่า 10,700 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายได้ 14,174 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 12,935 ล้านบาท
นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 น่าจะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทั้งจากเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และนโยบายการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่มีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน ทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 12 โครงการ สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน สัดส่วน 70% ภายใต้แบรนด์เคฟ (Kave), แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และแบรนด์โมดิซ (Modiz) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท และโครงการแนวราบ ในสัดส่วน 30% ภายใต้แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (The Honor) และแบรนด์แนวราบน้องใหม่ ดิ อาร์เบอร์ (The Arbor) รวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมขยายกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น และมุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้แข็งแกร่ง ครอบคลุมทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยล่าสุดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมทุน กับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต ในโครงการโบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (BOTANICA Grand Avenue) ซึ่งเป็นพูลวิลล่าระดับลักชัวรีบนหาดบางเทา จังหวัดภูเก็ต เพื่อรุกขยายพอร์ตแนวราบระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังผนึกกำลังบริษัทพันธมิตรในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ พร้อมส่งสัญญาณบวกในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อาทิ บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการ แอทโมซ บางนา (Atmoz Bangna) มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท และโครงการเคฟ ซี้ด เกษตร (Kave Seed Kaset) มูลค่าโครงการกว่า 1,350 ล้านบาท และเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตอสังหาฯ โดยร่วมทุนกับบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด (Tokyo Tatemono) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ เพื่อพัฒนาโครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช (Atmoz Oasis onnut) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท และยังจับมือร่วมทุนกับ บริษัท ไอดีล เรียล จำกัด พัฒนาโครงการเคฟ มิวแทนท์ ศาลายา (Kave Mutant Salaya) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท
ไม่เพียงแต่ขยายอาณาจักรธุรกิจอสังหาฯ เท่านั้น บริษัทยังมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ในด้านไลฟ์สไตล์ เพื่อต่อยอด และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 41.18% ในบริษัท แซ๊ป เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด หรือ ZAAP World ผู้ดำเนินธุรกิจ Lifestyle & Entertainment ครบวงจร ตอกย้ำการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ สู่การเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบทุกมิติทั้งทางด้านเทคโนโลยี การสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังได้สร้าง Community ของคนรุ่นใหม่ ด้วยการเปิด MONSTR Club แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมความบันเทิงที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมากมาย
นายกรมเชษฐ์ เปิดเผยอีกว่าที่ผ่านมาโครงการต่างๆ ของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะ Campus Condo ภายใต้แบรนด์เคฟ (Kave) คอนโดมิเนียมทำเลใกล้มหาวิทยาลัย ในระดับราคา 1.19-1.79 ล้านบาท ซึ่งเปิดโครงการมาแล้วกว่า 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท และในปี 2666 บริษัทมีแผนเปิดตังโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์เคฟ (Kave) เพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 8,980 ล้านบาท โดยนอกจากจะยึดหัวหาดในทำเลเดิมที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ม.มหิดล ศาลายา และม.กรุงเทพ ปีนี้จะมีการพัฒนาโครงการในทำเลใหม่ๆ ทั้งม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี และ ม.บูรพา จ.ชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นกัน เนื่องจากโครงการมีรูปแบบและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์กลุ่มนักศึกษา ตลอดจนอยู่ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ และให้ผลตอบแทนจากการเช่าในอัตราประมาณ 7%
“ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโครงการใหม่ หรือการขยายพอร์ตธุรกิจให้หลากหลายมากยิ่งขึ้นสำหรับเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท เพื่อผลักดันให้เราก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจอสังหาฯ ที่สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ และต่อยอดให้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ด้วยเป้าหมายการรับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท และเป้าหมายยอดขายที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเรามั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน” นายกรมเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย